บอร์ดรฟม.ไฟเขียวแก้พ.ร.บ.การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน พ.ศ. 2543 มาตรา 65 ดึงเงินรายได้สะสมชดเชยเอกชน มาตรการรถไฟฟ้า 20 บาททุกสาย เร่งชงครม.ดันเข้าสภา ด้าน”บีทีเอส”เสนอรัฐชดเชยตามจริงเคลียร์รายได้วันต่อวัน
รายงานข่าวจากการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 16 พ.ค. 2568 คณะกรรมการ (บอร์ด) รฟม.ที่มีนายมนตรี เดชาสกุลสม อธิบดีกรมทางหลวงชนบท (ทช.) เป็นประธาน มีการประชุมวาระพิเศษ เพื่อพิจารณาการแก้ไข พ.ร.บ.การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2543 มาตรา 65 โดยจะมีการขยายข้อความ เพิ่มเติม ในส่วนของรายได้สะสม กำหนดวิธีการรับเงิน จ่ายเงินโดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมกำหนด และคณะรัฐมนตรีเห็นชอบ เพื่อสนับสนุนและบูรณาการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม ซึ่งจากนี้ รฟม.จะสรุปนำเสนอไปยังกระทรวงคมนาคมเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.)โดยเร็ว เนื่องจากยังมีขั้นตอนการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร กว่าจะเสร็จสิ้นกระบวนการ ทั้งนี้เพื่อให้ทันกับการนโยบายกระทรวงคมนาคม ที่จะขยายค่าโดยสารสูงสุด 20 บาทใช้ได้กับรถไฟฟ้าทุกสาย สามารถขึ้นกี่ต่อก็ได้ ภายในวันที่ 30 ก.ย. 2568
ทั้งนี้ ตามพ.ร.บ.การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนฯ พ.ศ.2543 มาตรา 65 ระบุว่า รายได้ที่รฟม.ได้รับจากการดำเนินการในปีหนึ่งหนึ่งให้ตกเป็นของรฟม.สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน และเมื่อได้หักรายจ่ายสำหรับการดำเนินงานเช่นค่าบำรุงรักษาค่าเสื่อมราคาเงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพแล้ว เหลือเท่าใดให้นำส่งเป็นรายได้ของรัฐ ทั้งนี้ตามระเบียบที่กระทรวงการคลังกำหนด
ในกรณีที่รายได้ไม่เพียงพอสำหรับกรณีตามวรรคหนึ่งและไม่สามารถหาเงินที่อื่นได้รัฐพึงจ่ายเงินให้แก่ รฟม. เท่าจำนวนที่จำเป็นต่อการดำเนินงานของรฟม.
จะเห็นว่า มาตรา 65 เขียนไว้กว้างๆ การแก้ไขเพิ่มเติม เป็นการเปิดทางให้นำเงินรายได้สะสม ของ รฟม.มาใช้ได้ในนโยบาย 20 บาทตลอดสายได้ เพราะ ในพ.ร.บ.การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนฯ พ.ศ.2543 ไม่มีการระบุเรื่องการนำเงินสะสมของรฟม.มาอุดหนุนดังกล่าว ดังนั้นการจะนำมาใช้ทันที จึงเสี่ยงผิดระเบียบและกฎหมาย รวมถึง วินัยการเงินการคลัง
ในการขับเคลื่อนนโยบาย20 บาทตลอดสาย กระทรวงคมนาคมต้องผลักดัน กฎหมาย2 ฉบับ คือพ.ร.บ. การบริหารจัดการระบบตั๋วร่วมฯ ซึ่งอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของสภาแล้ว ยังต้องแก้ไขพ.ร.บ. การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนฯ พ.ศ.2543 ด้วยปัจจุบัน รฟม.มีเงินรายได้สะสมประมาณ 7,000- 8,000 ล้านบาท นอกจากนี้ รฟม.จะมีการเจรจากับคู่สัญญา ทั้งบมจ.ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ (BEM) ผู้รับสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ,บริษัท นอร์ทเทิร์น บางกอกโมโนเรล จำกัด (NBM) ผู้รับสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีชมพู และ บริษัท อีสเทิร์น บางกอกโมโนเรล จำกัด (EBM) ผู้รับสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ในการทำข้อตกลงในสัญญาร่วมกันในการชดเชยค่าโดยสารจากนโยบาย 20 บาทตลอดสาย
“รายได้รฟม.จะมีจากหลายส่วน ได้แก่ สัมปทาน MRT สีน้ำเงิน ปีละประมาณ 5,000 ล้านบาท รายได้จ่ายค่าเช่าพื้นที่ ค่าจอดรถ ฯลฯ ซึ่งจะนำมาใช้เป็นค่าใช้จ่ายในแต่ละปีของรฟม. โดยกระทรวงการคลังจะพิจารณาจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมกรณีไม่เพียงพอโดย หากมีเงินเหลือจึงจะส่งเข้าเป็นรายได้สะสม”
@“บีทีเอส”พร้อมร่วม 20 บาท เสนอรัฐชดเชยค่าโดยสารวันต่อวัน
ด้านนายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา ในฐานะผู้บริหาร บริษัท ผู้รับสัมปทาน รถไฟฟ้า สายสีเขียว สีเหลืองและสีชมพู กล่าวว่า บริษัทฯพร้อมเข้าร่วมน โยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายของรัฐบาล โดยขอรัฐชดเชยค่าโดยสารให้ตามจริง และเสนอขอให้มีการตัดบัญชีและชดเชยค่าโดยสารในวันรุ่งขึ้น ซึ่งฝ่ายรัฐรับข้อเสนอไปพิจารณา ทั้งนี้ ปัจจุบันมีบัตรหลักคือ บัตร Rabbit ซึ่งมีผู้ถืออยู่ประมาณ 20 ล้านใบ โดยสามารถใช้ในโครงข่ายรถไฟฟ้าสีเขียว ส่วนรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและสีชมพู นั้น สามารถใช้บัตรแรบบิทและ บัตร EMV ได้
ซึ่งขณะนี้ ทราบว่า ทาง สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) (สพร.)หรือ DGA กำลังพัฒนาระบบศูนย์บริหารจัดการรายได้กลาง (Central Clearing House : CCH) เพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการชดเชยและการใช้บัตรชำระค่าโดยสาร ในการเดินทางเชื่อมต่อในแต่ละสายทาง
โดยปัจจุบัน รถไฟฟ้าสายสีเขียวมีผู้โดยสารเฉลี่ยประมาณ 8 แสนคน/วัน แต่ยังไม่เท่ากับช่วงก่อนเกิดโควิด-19 ที่เคยมีผู้โดยสารถึง 9 แสนคน/วัน รถไฟฟ้าสายสีชมพูมีผู้โดยสารเฉลี่ย 6.4 หมื่นคน/วัน และรถไฟฟ้าสายสีเหลืองมีผู้โดยสารเฉลี่ย 4.6 หมื่นคน/วัน