ผู้จัดการรายวัน360 – “รวยไม่หยุดกรุ๊ป” ปรับกลยุทธ์รุกธุรกิจ ฟู้ดแอดเบฟเวอเรจ หันเจาะตลาดแมส รับเศรษฐกิจซบเซา กำลังซื้อลดลง พร้อมโฟกัสการเพิ่มแบรนด์ใหม่รับเทรนด์ Fast Fashion Food ส่วนแบรนด์เดิมไม่เน้นขยายสาขามาก เผยปีนี้ทุ่มกว่า 200 ล้านบาท เปิดมากถึง 8 แบรนด์ใหม่ หวังดันรายได้รวมเติบโต 20%
นางสาวชุติมา เปรื่องเมธางกูร ประธานบริหาร และ นางสาวนันทนัช เอื้อศิริทรัพย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท รวยไม่หยุด จำกัด ร่วมกันเปิดเผยว่า ทางรวยไม่หยุดกรุ๊ป ได้ปรับนโยบายการลงทุนและทิศทางการทำตลาดธุรกิจร้านอาหารใหม่ในปี2568 นี้ โดยจะไม่เน้นการขยายสาขามากสำหรับแบรนด์ร้านอาหารและเครื่องดื่มเดิมที่ทำมาอยู่แล้ว ยกเว้นเมื่อมีโอกาสเช่นได้ทำเลที่เหมาะสมกับบางแบรนด์ที่ยังขยายได้และพยายามทำรายได้และกำไรจากสาขาเดิมให้มากที่สุด ขณะเดียวกันก็ได้หันมาขยายตลาดกลุ่มเป้าหมายที่เป็นระดับกลางลงล่างหรือระดับแมสมากขึ้น จากเดิมที่เน้นกลางขึ้นบนเป็นหลัก
“เนื่องจากพิจารณาจากภาวะเศรษฐกิจที่เป็นอยู่นี้ต่อเนื่องมา 2 ปีแล้ว พบว่าเศรษฐกิจโดยรวมไม่ค่อยดีนัก กำลังซื้อของผู้บริโภคก็ไม่ค่อยดีลดน้อยลง ภาระค่าครองชีพที่สูงขึ้นผู้บริโภคปัจจุบันมีความยากในการใช้จ่ายอย่างมาก หรือบางกลุ่มที่ยังพอมีกำลังซื้ออยู่ แต่ก็ไม่ใช่จ่ายง่ายๆเหมือนอย่างที่ผ่านมา ต้องพิจารณารอบคอบในการใช้เงิน จริงๆเรามองเอาไว้ก่อนหน้านี้นานแล้ว แต่ค่อยๆเตรียมตัวมา การใช้จ่ายต่อบิลของลูกค้าสำหรับร้านอาหารในเครือของเราก็ลดลงจากเดิม เป็นสัญญาณบ่งบอกได้ แต่อย่างไรก็ตาม แม้ว่าผู้บริโภคที่ยังพอมีกำลังซื้ออยู่บ้าง จะใช้จ่ายอย่างรอบคอบ แต่ก็ต้องการอาหารที่มีคุณภาพ มีความคุ้มค่า มีความอร่อยเหมือนเดิม ซึ่งตรงนี้เราก็ต้องรักษาเอาไว้เช่นกัน”
อีกทั้งนับตั้งแต่หลังเกิดสถานการณ์โควิด-19 ระบาดเป็นต้นมา พฤติกรรมของผู้บริโภคลูกค้าก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก การแข่งขันในตลาดร้านอาหารที่มีมูลค่ามากกว่า 7 แสนล้านบาท ก็มีความรุนแรงมากขึ้น มีผู้ประกอบการรายใหม่เข้าสู่ตลาดต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคเองที่ต้องการตัวเลือกใหม่ๆ ต้องการประสบการณ์อาหารใหม่ๆทั้งทำให้ผู้ประกอบการต้องปรับตัวและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
สำหรับแผนปี2568 นี้ ทางบริษัทฯจะใช้งบประมาณไม่ต่ำกว่า 200 ล้านบาท ในการลงทุนและขยายร้านอาหารแบรนด์ใหม่ๆในปีนี้จำนวน 8 แบรนด์ใหม่ ซึ่งถือว่าเป็่นปีที่มีการขยายมากที่สุดก็ว่าได้ หลังจากที่ดำเนินธุรกิจมานาน 8 ปี และไม่ได้เปิดตัวแบรนด์ใหม่มาเกือบ 2 ปีแล้ว
“เหตุผลที่เลือกเปิดแบรนด์ใหม่พร้อมกันถึง 8 แบรนด์ ด้วยประสบการณ์ที่อยู่ในวงการอาหารมากว่า 8 ปี ทำให้เข้าใจอินไซท์ของลูกค้าเป็นอย่างดี ดังนั้นทั้ง 8 แบรนด์ที่จะเปิดตัวจึงเป็นการต่อยอดจากอินไซต์ของลูกค้า และเติมเต็มในสิ่งที่ตลาดยังขาด โดยทั้ง 8 แบรนด์ใหม่ จะปักหมุดในย่านสยามสแควร์ ซึ่งเป็นฐานที่มั่นสำคัญในการเปิดตัวทุกแบรนด์ในพอร์ตฯ เพราะเป็นย่านที่คุ้นเคย รู้อินไซท์ของลูกค้าเป็นอย่างดี บวกกับตั้งใจที่จะเติบโตไปกับย่านสยามสแควร์ ส่วนเหตุผลที่เลือกใช้โมเดลธุรกิจแบบปั้นแบรนด์เอง และซื้อแฟรนไชส์ เพราะมองว่า แต่ละโมเดลมีจุดแข็งต่างกัน ในขณะที่การปั้นแบรนด์ เอง อาจจะสามารถทำทุกอย่างได้ดั่งใจ แต่ก็ต้องใช้เวลา ขณะที่การซื้อแฟรนไชส์เหมือนเป็นทางลัด สามารถนำระบบที่วางไว้มาต่อยอดได้เลย” นางสาวชุติมา กล่าว
สำหรับ 8 แบรนด์ใหม่ที่จะเปิดในปีนี้ก็มีทั้งพัฒนาเอง ซื้อแฟรนไชส์ จับกลุ่มกลางถึงบน แต่ส่วนใหญ่กลางลงล่าง และตลาดแมสผสมผสานกัน ประกอบด้วย กลุ่มพรีเมียมบาร์ีคิวเกาหลี คือ Cheong Dum เปิดสาขาแรกที่ สยามพารากอน, แบรนด์ Hannum เปิดสาขาแรกที่เซ็นทรัลดุสิต สองแบรนด์นี้เป็นการร่วมมือกับแฟรนไชส์เกาหลี
ส่วนตลาดแมส คือ แบรนด์ Standard Bunเปิดสาขาแรกที่ สยามสแควร์บล็อก 1 , ร้านเกศเตี๋ยวป๊อก ป๊อก & ต้มยำ ราคาเริ่มที่ 39 บาท เปิดที่ สยามสแควร์ซอย 10, ร้านข้าวแกง & ปลาทู ราคาเริ่มที่ 29 บาท เปิดที่สยามสแควร์ ซอย 10 , ร้านChagoเปิดที่สยามสแควร์วัน, ร้านDaelim Korean Noodleเปิดที่สยามสแควร์, ร้านประเภทSushi & Izakaya เปิดที่สยามสแควร์ บล็อก 1
นอกจากน้้นจะรีแบรนด์ร้านเดิมคือ Fire Tiger ปรับภาพลักษณ์ให้ทันสมัยขึ้น ทั้งด้านการตกแต่งร้าน และเมนูสินค้าเครื่องดื่มที่จะปรับลดลงไม่มากเหมือนเดิม โดยนำร่องด้วยงบประมาณ 20 ล้านบาท ปรับโฉมร้าน Fire Tiger สาขาสยามสแควร์ ซึ่งเป็นแฟลกชิปสโตร์ ปรับคอนเซ็ปท์เป็นร้านมัลติสโตร์ “Multibrand Concept Store” ที่นำเอาร้านในเครือมาเปิดบริการรวม รวม 4 แบรนด์ทั้ง เครื่องดื่ม ของหวาน อาหารคาว
ส่วนร้านในเครือรวยไม่หยุดเดิม ประกอบด้วย Fire Tiger 10 สาขา, Mil Toast 8 สาขา, nice 2 Meat u 14 สาขา, Happy Pig 3 สาขา , Juicy Bunny 6 สาขา เตรียมจะปรับคอนเซ็ปท์ใหม่, Dosan Dalmatian 1สาขา, Sundububu 1 สาขา , เกศเตี๋ยว 1 สาขา, EBOMB (อยู่ใน Fire Tiger Coffee Siam Square Block I ), หมูกระทะ รอย้ายโลเกชั่นเปิดใหม่
ทั้งนี้แบรนด์ใหม่ที่เปิดไปแล้วคือ ร้านเกศเตี๋ยวก๋วยเตี๋ยวเรือ คอนเซ็ปต์ “อร่อยแบบไม่ต้องปรุง” ราคาเริ่มต้น 9 บาท ที่สยามสแควร์ซอย 3 ทำยอดขายได้สูงภึง 30 ล้านบาท ในช่วง 4 เดือนที่่เปิดบริการสาขาเดียว ส่งผลให้คืนทุนช่วง 2 เดือนแรกเอง และจะขยายสาขาที่สองที่ไอคอนสยาม ซึ่งเป็นแบรนด์แรกในเครือที่เข้าสู่ตลาดอาหารไทย และมีแผนที่จะขยายตลาดสู่สินค้าอาหารสำเร็จรูปพร้อมทานเกศเตี๋ยว ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจากับทางผู้รับจ้างผลิต
นางสาวนันทนัช กล่าวว่า แม้ปีนี้จะวางกลยุทธ์ปูพรมเปิดแบรนด์ใหม่ แต่กลยุทธ์การขยายสาขาของแบรนด์ในเครือ จะเป็นไปด้วยความรอบคอบมากขึ้น ไม่เน้นขยายสาขาเยอะ สำหรับแบรนด์ที่เปิดตัวใหม่ในปีนี้ จะดูกระแสตอบรับก่อน เพราะจากประสบการณ์ที่ลองขยายสาขาของแบรนด์ในพอร์ตฯไปยังโลเคชั่นต่างๆ ทำให้เรียนรู้แล้วว่า แบรนด์ไหนเหมาะกับลูกค้าในโลเคชั่นใด ที่สำคัญ ทำธุรกิจยุคนี้ นอกจากจะต้องเป็นปลาไว ต้องอ่านเกมให้ขาด ถ้าเห็นว่า สาขาหรือธุรกิจไหนอาจจะทำผลงานได้ไม่ดี หรือ เติบโตยาก ก็ไม่ควรยื้อ
“ถ้าไปดูเทรนด์ร้านอาหารที่เกาหลีตอนนี้จะเห็นว่าเปลี่ยนแปลงไวมาก ไม่ต่างกับธุรกิจ Fast Fashion ที่มีทั้งแบรนด์ที่ปิดตัว และแบรนด์ใหม่ๆเกิดขึ้นตลอดเวลา ซึ่งเมื่อมาดูสถานการณ์เศรษฐกิจไทยที่ยังไม่ฟื้นตัว ทำให้กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลงอย่างเห็นได้ชัด บวกกับ พฤติกรรมของผู้บริโภคยุคนี้ที่ฉลาดเลือกมากขึ้น ไม่ได้มองหาแค่ร้านอาหารที่อร่อย ใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพ ในราคาที่จับต้องได้ ยังมองหาร้านอาหารที่มีคอนเซ็ปต์ Back to Basic มอบประสบการณ์แบบ Casual Dining เน้นอาหารทานง่าย แต่ปัจจุบันอาจจะหาร้านที่อร่อย หรือสะอาดมั่นใจรับประทานได้ยากขึ้น ซึ่งการเปิดแบรนด์เกศเตี๋ยว ที่เจาะตลาดแมสแบรนด์ที่สองของเครือตอบโจทย์คุณภาพที่ลูกค้ากลุ่มนี้มองหาได้ ซึ่งถือว่าเรามาถูกทางสร้างความคึกคักให้สยามสแควร์ซอย 3 ได้สำเร็จอีกครั้ง”
ทั้งนี้ ปี2568 นี้ ตั้งเป้าหมายรายได้รวมเติบโต 20% จากปีที่แล้ว (2567) ที่ทำได้ประมาณ 700 กว่าล้านบาท แต่ก็ต่ำเป้าหมายที่วางไว้เพราะปีที่แล้วเปิดสาขาตามชานเมืองหลายสาขา แต่รายได้ไม่เป็นไปตามที่วางไว้