xs
xsm
sm
md
lg

ส.อ.ท.จับมือ 9 พันธมิตรร่วมบูรณาการบริหารจัดการน้ำประเทศสู่ความยั่งยืน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ส.อ.ท.ผนึก 9 พันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน ยกระดับการบริหารจัดการน้ำของประเทศสู่ความยั่งยืน สร้างผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมของประเทศไทยอย่างแท้จริง

วันนี้ (8 พ.ค. 68) สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับ 9 หน่วยงานหลักด้านน้ำทั้งภาครัฐและเอกชน ประกอบด้วย สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) กรมชลประทาน กรมทรัพยากรน้ำ กรมทรัพยากรน้ำบาดาล สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (สสน.) กรมอุตุนิยมวิทยา กรมควบคุมมลพิษ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) สมาคมนิคมอุตสาหกรรมไทย และพันธมิตร เพื่อผลักดันการบริหารจัดการน้ำอย่างบูรณาการ ภายใต้แนวคิด “น้ำมั่นคง น้ำยั่งยืน” สะท้อนความมุ่งมั่นของทุกภาคส่วนในการสร้างระบบเศรษฐกิจน้ำที่พร้อมรับมือกับความท้าทายของอนาคต ไม่ว่าจะเป็นภัยแล้ง น้ำท่วม หรือผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

นายชนะ ภูมี ประธานสถาบันน้ำและสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่าขณะนี้ไทยกำลังเผชิญกับโจทย์ใหญ่ด้านทรัพยากรน้ำในทุกมิติ การร่วมมือกันในวันนี้คือจุดเริ่มต้นสำคัญของการขับเคลื่อนให้การจัดการน้ำไม่ใช่เรื่องของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นภารกิจร่วมของทั้งสังคมไทย ทุกภาคส่วนต้องให้ความสำคัญของการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน ท่ามกลางความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การเติบโตทางเศรษฐกิจ และความต้องการใช้น้ำที่เพิ่มขึ้น


การผนึกความร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบบริหารจัดการน้ำของประเทศอย่างรอบด้านเพื่อสร้างระบบบริหารจัดการน้ำที่มีประสิทธิภาพครอบคลุมและยั่งยืนโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

ข้อมูลจากสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สนทช.) ปี 2564 ชี้ให้เห็นว่าประเทศไทยยังมีประสิทธิภาพการใช้น้ำต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของโลกถึง 3 เท่าโดยไทยมีประสิทธิภาพการใช้น้ำเฉลี่ยเพียง 7.5 >ดอลลาร์สหรัฐต่อลูกบาศก์เมตรหรือประมาณ 238 บาทซึ่งในภาคเกษตรกรรมซึ่งมีการใช้น้ำถึง 75%ของประเทศแต่สร้างมูลค่าเพียง 11.4บาท/ลบ.ม.ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมและบริการใช้น้ำน้อยกว่าคิดเป็นรวม 25% แต่สร้างมูลค่าสูงถึง 1,059 และ 931 บาท/ลบ.ม.ตามลำดับ ดังนั้นไทยมีโอกาสในการพัฒนาและเพิ่มมูลค่าจากการใช้ทรัพยากรน้ำที่มีอยู่อย่างจำกัด และความจำเป็นในการวางแผนจัดการทรัพยากรน้ำอย่างรอบด้านเพื่อตอบโจทย์ทั้งด้านเศรษฐกิจการอุปโภค บริโภคแ ละสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน


นายชนะกล่าวว่า การขับเคลื่อนการบริหารจัดการน้ำของประเทศจะมีการดำเนินงานผ่าน 5 คเสาหลักสำคัญได้แก่ 1. สมดุลน้ำและข้อมูล (Water Balance & Data)ส่งเสริมการแลกเปลี่ยนข้อมูลการติดตามประเมินและคาดการณ์สถานการณ์น้ำอย่างต่อเนื่องเพื่อการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพ

2. การบริหารจัดการเชิงระบบ (Systematic Management)สนับสนุนข้อมูลและการบริหารจัดการแบบบูรณาการสร้างสมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทานของน้ำทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ

3. องค์ความรู้และนวัตกรรม (Water Innovation)ส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีและองค์ความรู้ผ่านการฝึกอบรมและศึกษาดูงานทั้งในและต่างประเทศ

4. เครือข่าย WARROOM ระดับพื้นที่เพื่อยกระดับการทำงานร่วมกันในระดับพื้นที่ด้วยการสร้างเครือข่ายแลกเปลี่ยนข้อมูลและการประเมินสถานการณ์น้ำ

5. การสื่อสารข้อมูล (Water Communication)สังเคราะห์และนำเสนอข้อมูลสถานการณ์น้ำและแนวทางการบริหารจัดการความเสี่ยงให้เข้าใจง่ายและเข้าถึงทุกกลุ่มเป้าหมาย

ความร่วมมือครั้งนี้มีพันธมิตรจาก 3กลุ่มหลักได้แก่ด้านนโยบายและแหล่งน้ำมีสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC),กรมชลประทาน,กรมทรัพยากรน้ำ,กรมทรัพยากรน้ำบาดาล

ด้านข้อมูลและการพยากรณ์มีสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (สสน.),กรมอุตุนิยมวิทยา, กรมควบคุมมลพิษและด้านการใช้น้ำและภาคเอกชนมีการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) สมาคมผู้ประกอบการนิคมอุตสาหกรรมเอกชน,สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)

ซึ่งการขับเคลื่อนนี้มีเป้าหมายสำคัญเพื่อยกระดับศักยภาพในการบริหารจัดการน้ำ (Water Management)และสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจจากการใช้น้ำ (Water Productivity)อย่างยั่งยืนโดยเฉพาะในพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญของประเทศเช่นเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษกรุงเทพมหานครและปริมณฑลลุ่มน้ำแม่กลองและลุ่มน้ำท่าจีนเพื่อรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจลดความเสี่ยงและเสริมสร้างความมั่นคงด้านน้ำในระยะยาว


กำลังโหลดความคิดเห็น