กกร.หั่นเป้าการเติบโตทางเศรษฐกิจไทยในปี68 อยู่ที่ 2.0-2.2% และส่งออก 0.3-0.9% หากไทยถูกสหรัฐฯจัดเก็บภาษีนำเข้า10% แต่หากโดนภาษีนำเข้า36%จีดีพีไทยโต 0.7-1.4% และส่งออกติดลบ 2% จี้รัฐเจรจาสหรัฐฯลดภาษี และเร่งแก้ปัญหาค่าเงินบาทแข็งในช่วงนี้ หวั่นซ้ำเติมเศรษฐกิจและผู้ส่งออกไทย
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เปิดเผยว่า สงครามการค้ากดดันเศรษฐกิจโลกปี 2568 โตต่ำกว่าคาด ซึ่งกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ปรับลดการเติบโตของจีดีพีโลกปี 2568 ลงจากเดิม 3.3% เหลือ 2.8% ดังนั้นกกร.ได้ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 2568 จะขยายตัวอยู่ที่ 2.0-2.2% ต่ำกว่าประมาณการเดิมที่เคยตั้งไว้ 2.4-2.9% ปัจจัยหลักจากผลกระทบของมาตรการภาษีของสหรัฐฯ โดยประเมินภายใต้สถานการณ์ที่ไทยถูกเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ที่อัตรา 10% ในช่วงไตรมาส 2/68 (หลังมีการเลื่อนขึ้นภาษีเต็มรูปแบบออกไป 90 วัน) และอัตราภาษีในครึ่งปีหลังยังอยู่ที่ 10% ที่ส่งผลให้มูลค่าการส่งออกทั้งปีเติบโตเพียง 0.3-0.9% จากประมาณการเดิมที่ 1.5-2.5% ส่วนอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำที่ 0.5-1.0% ลดลงจากประมาณการเดิมเช่นกัน แต่ถ้าไทยถูกเรียกเก็บภาษีที่อัตรา 36% ในครึ่งปีหลัง จีดีพีปี 68 จะโตเพียง 0.7-1.4% และการส่งออกทั้งปีอาจหดตัวได้มากถึง -2%
เนื่องจากสงครามการค้าสามารถก่อให้เกิดหลุมรายได้ขนาดใหญ่ถึง 1.6 ล้านล้านบาทในช่วง 5 ปีข้างหน้า จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะเจรจากับสหรัฐฯ เพื่อลดภาษีให้สำเร็จ พร้อมทั้งติดตามผลการเจรจาของประเทศคู่แข่งของไทย เช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย เป็นต้น ซึ่งหากประเทศเหล่านี้สามารถเจรจาขอยกเว้นหรือลดอัตราภาษีนำเข้าได้ต่ำกว่าไทย ก็อาจส่งผลกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยในตลาดสหรัฐฯ ได้
ทั้งนี้ สงครามการค้ากดดันเศรษฐกิจโลกปี 2568 IMFเตือนว่าการกีดกันทางการค้าจะส่งผลให้ปริมาณการค้าโลกเติบโตเพียง 1.7% ซึ่งถือว่าต่ำกว่าช่วง European crisis เมื่อปี 2554 ทั้งนี้ประเทศหลักต่างมีสัญญาณลบ ทั้งสหรัฐฯ ที่ความเชื่อมั่นต่อทิศทางอุตสาหกรรมลดลง ส่วนภาคอุตสาหกรรมของจีนมีคำสั่งซื้อลดลงต่ำสุดในรอบกว่า 1 ปี สะท้อนถึงความเปราะบางระยะข้างหน้าท่ามกลางความไม่แน่นอน รวมทั้งเป็นความเสี่ยงต่อการเติบโตในระยะยาว อย่างไรก็ดี เริ่มเห็นสัญญาณสหรัฐฯ และจีนเตรียมการเจรจาเพื่อคลายความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสองประเทศ ก็เป็นสัญญานบวกต่อการค้าโลก
ซึ่งมาตรการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ กดดันภาคการส่งออก รวมทั้งส่งผลกระทบต่อการจ้างงานและ SMEหากไทยถูกเรียกเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ที่อัตรา 36% มูลค่าส่งออกของไทยไปสหรัฐฯ อาจจะหายไปสะสมประมาณ 1.4 ล้านล้านบาทภายใน 10 ปี และเพิ่มแรงกดดันต่อกลุ่มเปราะบาง ทั้งลูกจ้างประมาณ 3.7 ล้านคน และ SME เกือบ 5 พันราย
ทั้งนี้ ที่ประชุม กกร.ขอให้ภาครัฐดำเนินแนวทางการป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดจากสถานการณ์เบี่ยงเบนทางการค้า (Trade Diversion) จากมาตรการขึ้นภาษีต่างตอบแทน (Reciprocal Tariff) ของสหรัฐฯ โดยเฉพาะการใช้มาตรการปกป้องการนำเข้าสินค้าที่เพิ่มขึ้น (Safeguard Measure) เพื่อปกป้องผู้ประกอบการภายในประเทศไทยที่มีแนวโน้มที่จะได้รับความเสียหายจากการนำเข้าที่เพิ่มมากขึ้นมากกว่าปกติ รวมทั้งภาครัฐต้องเชื่อมโยงข้อมูลการนำเข้าและส่งออก มีการใช้ระบบดิจิทัล e-Government เข้ามาช่วยในการวิเคราะห์ ติดตาม และเฝ้าระวังสถานการณ์สินค้านำเข้าจากการเบี่ยงเบนทางการค้า รวมทั้งมีการปรับกระบวนการ โดยภาครัฐสามารถเริ่มเปิดไต่สวนได้ทันทีหากพบว่ามีการนำเข้าสินค้าที่เพิ่มมากขึ้นมากกว่าปกติ
เพื่อป้องกันผลกระทบได้ทันสถานการณ์
รวมทั้งแก้ปัญหาการสวมสิทธิ์สินค้าส่งออกจากไทยไปตลาดสหรัฐฯ โดยเพิ่มความเข้มงวดในการออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า Form C/O ทั่วไปของไทยให้มากขึ้น โดยให้กรมการค้าต่างประเทศเป็นเพียงหน่วยงานเดียวที่จะออกหนังสือรับรอง Form C/O ทั่วไป สำหรับรายการสินค้าเฝ้าระวังสินค้าส่งออกจากไทยไปตลาดสหรัฐฯ ที่ปัจจุบันกรมการค้าต่างประเทศ มีการประกาศรายการสินค้าเฝ้าระวังแล้ว จำนวน 65 รายการ เพิ่มขึ้นจากเดิม 49 รายการ
นายเกรียงไกร กล่าวว่า กกร. มีความกังวลต่อสถานการณ์ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว มาอยู่ในช่วง 32.5-32.7 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นการแข็งค่าที่มากกว่าประเทศอื่นในอาเซียนราว 3-5% ส่งผลกระทบต่อการส่งออกและภาคการท่องเที่ยวเพราะค่าเงินบาทแข็งค่ากว่าระดับที่ธุรกิจแข่งขันได้ จึงอยากให้ภาครัฐควรดูแลค่าเงินไม่ให้แข็งค่าหรือผันผวนเร็วจนเกินไป
ในขณะนี้ สภาผู้แทนราษฎรอยู่ระหว่างพิจารณาร่างพระราชบัญญัติล้มละลาย(ฉบับที่..) พ.ศ.... ซึ่งมีแก้ไขปรับปรุงกระบวนการฟื้นฟูกิจการของกิจการขนาดย่อม (กิจการที่มีหนี้ไม่เกิน 50 ล้านบาท) โดยเพิ่มเติมการฟื้นฟูกิจการโดยเร่งรัดและเพิ่มเติมการฟื้นฟูฐานะของลูกหนี้บุคคลธรรมดา ซึ่งสาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติที่จะปรับปรุงดังกล่าวส่งผลกระทบในวงกว้าง และมีบางประเด็นเป็นหลักการใหม่ที่ไม่เคยมีการใช้ในประเทศไทยมาก่อน จึงควรมีการศึกษาผลดีผลเสียของการใช้ระบบดังกล่าว รวมถึงกลไกที่คุ้มครองสิทธิของผู้มีส่วนได้เสียต่างๆ อย่างรอบด้าน เพราะอาจทำให้เกิดผลกระทบกับระบบเศรษฐกิจของประเทศได้ นอกจากนี้ ยังมีการพิจารณาลดความรับผิดของผู้ค้ำประกันลงอันเป็นผลจากการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้โดยอัตโนมัติ ซึ่งจะส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของระบบการประกันหนี้ด้วยบุคคล ทำให้ กกร. มีความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบต่อวินัยทางการเงินและการเข้าถึงสินเชื่อใหม่ของกิจการ SMEs ซึ่งไม่มีทรัพย์สินมาเป็นประกัน รวมถึงต้นทุนเครดิตของลูกหนี้สูงขึ้น