xs
xsm
sm
md
lg

SCCชี้Q2/68กำไรโตกว่า1.1พันล้านบาท วาง4กลยุทธ์สู้ศึกสงครามการค้า

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



SCCลั่นไตรมาส2นี้มีผลดำเนินงานโตขึ้นกว่าไตรมาส1 /68ทั้งรายได้และกำไร เหตุสเปรดปิโตรเคมีสูงขึ้นจากราคาน้ำมันที่ปรับลดลง เตรียมพร้อมสู้ศึกสงครามการค้าโลก กำหนด 4กลยุทธ์สำคัญควบคู่กับการรักษากระแสเงินสด

นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน)หรือ SCC เปิดเผยว่า แนวโน้มผลประกอบการในไตรมาส 2นี้ บริษัทคาดว่าจะมีรายได้ และกำไรเติบโตขึ้นกว่าไตรมาส1/2568 ที่มีรายได้จากการขาย 124,392 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 1,099 ล้านบาท เนื่องจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง ส่งผลให้สเปรดปิโตรเคมีที่ปรับตัวดีขึ้น และทุกกลุ่มธุรกิจได้ปรับลดต้นทุนการผลิตและขยายตลาดใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงเพิ่มสินค้าคุณภาพ ราคาจับต้องได้ (Quality Affordable Products)ที่มีความต้องการสูง และทำกำไรได้ทันที


ทั้งนี้ บริษัทยังไม่ปรับลดเป้ารายได้ทั้งปี2568ที่ตั้งเป้าโต 5% แม้ว่าแนวโน้มเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวจากสงครามการค้าที่เกิดขึ้นจากการขึ้นกำแพงภาษีของสหรัฐฯ เพราะมั่นใจว่าบริษัทยังทำได้ตามแผนงานในช่วงไตรมาส 1-2 ของปีนี้ แต่สถานการณ์ในช่วงไตรมาส 3-4 ของปีนี้ยังน่ากังวล คาดการณ์ผลกระทบจากสงครามการค้าได้ยาก แต่บริษัทจึงเตรียมความพร้อมไว้รองรับแล้ว

สงครามการค้าได้สร้างแรงกดดันทั่วโลก ล่าสุด กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF)ปรับลดประมาณการณ์เติบโตเศรษฐกิจโลกปีนี้เหลือ 2.8%และเศรษฐกิจไทยลดลงเหลือ 1.8% ซึ่งSCCได้รับผลกระทบทางตรงเพียงเล็กน้อย ซึ่งในปี2567 บริษัทมีการส่งออกไปสหรัฐเพียง1%ของยอดขายรวม ไม่ขายก็ไม่เป็นไร แต่ผลกระทบทางอ้อมรุนแรงกว่า หากพ้นระยะเวลาชะลอการจัดเก็บภาษี 90วัน กลุ่มประเทศที่เกินดุลการสหรัฐฯอาจถูกจัดเก็บภาษีต่างกัน เช่นไทยอาจถูกเก็บภาษีนำเข้าที่ 36% ซึ่งจะมีผลทำให้เศรษฐกิจระดับภูมิภาคและโลกชะลอตัวรุนแรง เกิดสงครามการค้า และการทะลักของสินค้าราคาถูกจากประเทศอื่นเข้ามาไทย ซึ่งบริษัทมีสัดส่วนยอดขายราว 80%มาจากอาเซียน ดังนั้นหากอาเซียนทรุด SCCก็จะทรุดตามไปด้วย


อย่างไรก็ดี ภายใต้เศรษฐกิจผันผวน ก็ยังมีโอกาสซ่อนอยู่ เช่น แนวโน้มราคาน้ำมันที่ปรับลดลง ทำให้ต้นทุนวัตถุดิบปิโตรเคมีปรับลงด้วย ส่งผลให้ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติกกับวัตถุดิบ(สเปรด)ขยับดีขึ้น ขณะที่ผู้ผลิตปิโตรเคมีจีนก็ประสบปัญหาการจัดหาวัตถุดิบจากสหรัฐฯคงต้องติดตามว่าจะมีผลสรุปอย่างไร ล่าสุดพบว่ามีโครงการปิโตรเคมีใหม่ได้โครงการเลื่อนอย่างไม่มีกำหนดหรือบางแห่งยกเลิกการลงทุนเลย

ทั้งนี้ เพื่อรองรับเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว บริษัทได้ปรับตัวรับมือด้วย 4 กลยุทธ์สำคัญ คือ 1.ลดต้นทุนให้สามารถแข่งขันกับสินค้าจากจีนได้ โดยนำหุ่นยนต์มาใช้ในการผลิต 2.ขยายพอร์ตสินค้าให้รองรับความต้องการตลาดทุกระดับ ทั้งสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง(HVA Product) สินค้ากรีน และสินค้าคุณภาพ ราคาจับต้องได้ (Quality Affordable Products) 3.บุกตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ ซึ่งการปรับขึ้นกำแพงภาษีของสหรัฐฯ มีบางประเทศได้ประโยชน์ อาทิ ออสเตรเลีย ที่มีแร่สำคัญส่งออกไปนังตลาดสหรัฐแทนจีนที่ประกาศห้ามส่งออก รวมถึงบราซิล อาร์เจนตินา และอินเดียที่มีขายสินค้าเกษตรให้จีนแทนการนำเข้าสหรัฐฯด้วย ซึ่ง SCCมองเห็นโอกาสและใช้เครือข่ายธุรกิจที่มีอยู่ทั่วโลกส่งสินค้าเจาะตลาด 4.สร้างความได้เปรียบโดยส่งออกจากฐานการผลิตที่หลากหลายในภูมิภาคอาเซียน โดยสลับฐานการผลิตและส่งออกจากประเทศที่มีอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯต่ำกว่า เช่นอาศัยฐานจากฟิลิปปินส์ในการส่งออกไปสหรัฐฯ เป็นต้น


ขณะเดียวกัน บริษัทยังคงมาตรการเสริมความเข้มแข็งทางการเงินอย่างต่อเนื่อง ซึ่งภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ กระแสเงินสดมีความสำคัญมากกว่ากำไรสุทธิ เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน ควบคู่กับการลดต้นทุนบริหารอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการปิดธุรกิจที่ไม่ทำกำไร

โดยในไตรมาส1/2568 บริษัทใช้งบลงทุนไป6,100ล้านบาท ซึ่ง50%ใช้ในการซ่อมบำรุงเครื่องจักร คาดว่าทั้งปีจะใช้งบลงทุนตามเป้าที่วางไว้ 30,000ล้านบาท

นายธรรมศักดิ์ กล่าวถึงความคืบหน้าโครงการลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์ (LSP)ประเทศเวียดนามว่า บริษัทมีความพร้อมที่จะเปิดเดินเครื่องอีกครั้ง เนื่องจากสเปรดปรับตัวดีขึ้น บวกกับการขึ้นกำแพงภาษีสหรัฐ อาจส่งผลให้โรงงานปิโตรเคมีแห่งใหม่ที่จะทยอยขึ้นในจีนต้องชะลอออกไป แต่บริษัทฯขอรอดูผล 90วันนี้ว่าการเจรจาระหว่างสหรัฐฯกับจีนจะเป็นอย่างไร

“ปัจจุบันสเปรดปิโตรเคมียืนอยู่ที่ 380เหรียญสหรัฐต่อตัน ถือว่าปรับตัวดีขึ้นมากก่อนที่ทรัมป์จะประกาศขึ้นกำแพงภาษีที่ช่วงนั้นสเปรดอยู่ที่ 320-330เหรียญสหรัฐต่อตัน มั่นใจว่าอุตสาหกรรมปิโตรเคมีถึงจุดต่ำสุดแล้ว”


กำลังโหลดความคิดเห็น