ข่าวดี!กกพ.ดึงเงิน Claw Backราว 12,200ล้านบาทมาลดค่าไฟฟ้างวดใหม่ (พ.ค.-ส.ค. 2568)ลงเหลือ 3.98บาทต่อหน่วยจากเดิม 4.15บาทต่อหน่วยตามมติครม.
นายพูลพัฒน์ ลีสมบัติไพบูลย์เลขาธิการสำนักงานกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ในฐานะโฆษกกกพ.เปิดเผยว่าที่ประชุมกกพ.วันที่ 30เมษายน 2568มีมติเห็นชอบปรับลดอัตราค่าไฟฟ้างวดเดือนพฤษภาคม -สิงหาคม 2568เหลือ 3.98บาทต่อหน่วยจากมติกกพ.เมื่อวันที่ 26มีนาคม 2568ที่มีการตรึงค่าไฟไว้ที่ 4.15บาทต่อหน่วยซึ่งการปรับลดค่าไฟฟ้าในครั้งนี้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี(ครม.)ที่กำหนดกรอบเป้า
หมายค่าไฟฟ้าไม่เกิน 3.99บาทต่อหน่วย
“แนวทางการปรับลดค่าไฟในงวดพฤษภาคม -สิงหาคม 2568กกพ.พิจารณาจากปัจจัยสองส่วนหลักคือส่วนที่หนึ่งต้องการให้ค่าไฟอยู่ในระดับเหมาะสมกับสภาวะวิกฤตเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและลดภาระค่าครองชีพส่วนที่สองจะต้องสามารถลดภาระทางการเงินภาระดอกเบี้ยดูแลผลกระทบต่อเครดิตเรทติ้งของกฟผ.ควบคู่กันไปด้วยในรอบนี้กกพ.จึงเลือกแนวทางที่จะนำเงินที่ได้จากการเรียกคืนประโยชน์ส่วนเกินจากการไฟฟ้าจำนวนประมาณ 12,200ล้านบาทมาลดค่าไฟโดยแนวทางนี้กฟผ.ยังคงได้รับการชำระคืนค่าเชื้อเพลิงคงค้างใกล้เคียงจำนวนตามเป้าหมายเดิมที่วางไว้ที่ 20.33สตางค์ต่อหน่วยหรือเป็นเงินรวม 14,590ล้านบาท”นายพูลพัฒน์กล่าว
ทั้งนี้ กกพ.ให้นำเงินเรียกคืนของผลประโยชน์ส่วนเกิน (Claw Back)หรือเงินที่เกิดจากการลงทุนที่ไม่เป็นไปตามแผนของ 3การไฟฟ้าที่มีอยู่ประมาณ 20,000ล้านบาทแต่นำมาใช้ปรับลดค่าไฟฟ้าเพียง12,200ล้านบาททำให้ลดค่าไฟฟ้าได้ 17สตางค์ต่อหน่วย
“กกพ.มีความเป็นห่วงประชาชนที่เผชิญกับวิกฤตภาวะเศรษฐกิจโลกจึงนำเงิน Claw Backเข้ามาลดค่าไฟและตามกฎหมายพ.ร.บ.การประกอบกิจการพลังงานพ.ศ. 2550มาตร 34(2)กำหนดให้นำมาใช้ได้ในช่วงเกิดวิกฤตจึงเป็นช่วงที่เหมาะสมเพื่อลดภาระประชาชน”
อย่างไรก็ดีค่าไฟงวดสุดท้ายของปีนี้ (กันยายน -ธันวาคม 2568)กกพ.ยังต้องติดตามผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจต้นทุนค่าเชื้อเพลิงสงครามการค้าโลกซึ่งยังมีเงิน Claw Backเหลืออีกประมาณ 7,800ล้านบาทเพื่อดูแลค่าไฟฟ้าในอนาคต