xs
xsm
sm
md
lg

ไทย สมายล์ บัส ทุ่ม 300 ล.ผุดศูนย์ควบคุมอัจฉริยะยกระดับบริการ เป้าผู้โดยสาร 5 แสนคน จ่อขอปรับช่วงราคาใหม่หลังคิดปัดเศษทำรายได้หาย 7 ล้าน/วัน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ไทย สมายล์ บัส เปิดตัว Transit Smart Hub ศูนย์ควบคุมอัจฉริยะ ยกระดับรถเมล์เทียบชั้นหอบังคับการบิน ทุ่ม 300 ล้านบาทใช้ AI วิเคราะห์ดาต้าบริหารความถี่ คุมความปลอดภัย เผยผู้โดยสารเฉลี่ย 4 แสน/วัน ตั้งเป้า 5 แสนในปีนี้ จ่อชงขบ.ขอปรับช่วงค่าโดยสารเพิ่ม หลังคิดราคาปัดขึ้น-ลงตามระยะทางจริง ทำรายได้หายเดือนละ 7 ล้านบาท

วันที่ 30 เม.ย. 2568 บริษัท ไทย สมายล์ บัส จำกัด ผู้ให้บริการรถโดยสารพลังงานไฟฟ้าในประเทศไทย เดินหน้าขับเคลื่อนนวัตกรรมขนส่งสาธารณะ จัดงาน The Shift Hub: A New Era of Transport for All หรือ “ศูนย์กลางแห่งการเปลี่ยนผ่าน จุดเริ่มของระบบขนส่งมวลชนยุคใหม่เพื่อทุกคน” ที่รวบรวมเทคโนโลยีควบคุมการเดินรถ-เรือ อันล้ำสมัยเข้ามาอยู่ใน ศูนย์ควบคุมอัจฉริยะ Transit Smart Hub หรือ TS-HUB เพื่อพัฒนาการบริการขนส่งมวลชนของ TSB ให้ได้รับการยกระดับอย่างแท้จริง ทั้งคุณภาพ ความปลอดภัย

นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดงานว่า นับเป็นอีกก้าวสำคัญของระบบขนส่งมวลชน ที่ได้เห็นการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานจาก ไทย สมายล์ บัส ซึ่งเป็นบริษัทคนไทย มีการนำเทคโนโลยีมาใช้ภาคขนส่งสาธารณะ ศูนย์ควบคุมอัจฉริยะมาใช้ในการบริหารจัดการสะท้อนถึงความตั้งใจในการยกระดับมาตรฐานการให้บริการอย่างแท้จริง ซึ่งตนเชื่อว่าการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ จะเป็นส่วนสำคัญที่เข้ามาช่วยให้การบริการขนส่งสาธารณะของคนไทยดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ขบ.มีศูนย์บริหารจัดการเดินรถ (ศูนย์ GPS) ตรวจสอบติดตามรถโดยสารสาธารณะ รถบรรทุก เรื่องการใช้ความเร็วเกินกำหนดหรือไม่ การวิ่งรถออกนอกเส้นทางหรือไม่ ความตรงต่อเวลา ซึ่งใช้สำหรับบังคับใช้กฎหมาย แต่ศูนย์ศูนย์ปฏิบัติการอัจฉริยะของไทยสมายล์ บัส เป็นการยกระดับไปอีกขั้นของเอกชน ที่จะสามารถบริหารจัดการฟลีทรถของตัวเอง ได้ ตามความต้องการของผู้โดยสาร แก้ปัญหารถขาดระยะ และช่วยเติมความถี่ในเส้นทางที่มีความหนาแน่นได้อย่างเหมาะสม เมื่อมีรถบริการเพียงพอ ทำให้ประชาชนได้รับบริการที่มีคุณภาพ นอกจากนี้ บริษัทฯยังสามารถนำข้อมูลที่ได้จากศูนย์ปฏิบัติการฯ ประมวลผลเพื่อวางแผนในการให้บริการได้ในทุกๆ ด้านอีกด้วย

“จากนี้ ต้องการให้มีการจัดส่งข้อมูล เช่น กับกรุงเทพมหานคร (กทม.) ที่มีป้ายรถเมล์อัจฉริยะ อีก
500 ป้าย ประชาชนสามารถทราบข้อมูลรถสายนั้นๆ จะมาถึงป้ายในอีกกี่นาที และ ตรวจสอบเส้นทาง ได้ด้วย เป็นการยกระดับบริการอีกขั้น”


ด้านนางสาวกุลพรภัสร์ วงศ์มาจารภิญญา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทย สมายล์ บัส จำกัด (TSB) เปิดเผยว่า ช่วง 3 ปีที่ผ่านมา บริษัทฯมุ่งมั่นพัฒนา การให้บริการ ระบบขนส่งสาธารณะที่ใช้พลังของเทคโนโลยี ความโปร่งใส และหลักธรรมาภิบาล เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนทุกคน โดยใช้รถพลังงานไฟฟ้า 100% ในรถมีกล้อง CCTV ติดตามการขับขี่และความปลอดภัยของผู้โดยสาร มีระบบเก็บค่าโดยสาร แบบดิจิทัล วอลเลต ทำให้มีฐานข้อมูลเป็นดาต้า แต่ยังไม่สามารถนำข้อมูลเหล่านี้มาประมวลผลและใช้ประโยชน์ต่อยอดได้ ก็จะไม่เกิดประโยชน์

ดังนั้นมีการลงทุนเพิ่มเติม ประมาณ 300 ล้านบาท สร้างศูนย์ปฏิบัติการอัจฉริยะแห่งนี้ TS-HUB มีห้องวอรูม ซึ่งเป็นศูนย์กลางการควบคุมการเดินรถทั้งทางบกและทางน้ำครบวงจรแห่งแรกของประเทศไทย ติดตั้งฮาร์ดแวร์ในรถทุกคัน อู่​ทุกแห่ง และมีระบบ ที่จะกลายเป็นหัวใจสำคัญในการยกระดับการบริการ ด้วยระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) คอยมอนิเตอร์รวบรวมข้อมูลการเดินทางตลอด 24 ชม. ทำให้สามารถตรวจสอบ บริหารจัดการคุณภาพการให้บริการได้อย่างเรียลไทม์ ตัวอย่างเช่น ...

• Bus Stop Distribution แสดงความหนาแน่นของจำนวนรถที่ผ่านป้าย
• Passenger Flow Statistics การแสดงจำนวนผู้โดยสารตามป้ายต่าง ๆ
• Dispatching การปล่อยรถแต่ละสาย แสดงตำแหน่งรถแต่ละคันในเส้นทาง
• Alarm Report การแจ้งเตือนพฤติกรรมคนขับขณะให้บริการ
• Realtime CCTV ตรวจสอบกล้องเพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้บริการ
• Data Dashboard สามารถติดตามตัวชี้วัดสำคัญขององค์กรสร้างความโปร่งใสและวัดผลได้


สำหรับระบบของห้อง TS-HUB ยังเข้ามาช่วยเสริมการบริหารงานหลังบ้านได้อีกด้วย เพราะตนมองว่า บริษัทรถเมล์จะเติบโตได้ต้องขับเคลื่อนด้วยข้อมูล เพื่อลดข้อผิดพลาด ไม่ใช้ความรู้สึกตัดสิน หรือ เรียกว่าเป็น “Data-Driven Company” จะนำข้อมูลมาวิเคราะห์ว่าผู้โดยสารอยู่ตรงไหน ขึ้น-ลงป้ายใด ความต้องการใช้รถคือเท่าใด ระยะห่างของรถ อัตราการใช้พลังงาน กระทั่งปัญหารถไปกองสะสมด้วยสภาพจราจร สิ่งเหล่านี้เมื่อนำข้อมูลมาวิเคราะห์จะหาได้ว่าปัญหาอยู่ตรงไหน จากนั้นจึงนำข้อมูลที่ผ่านการวิเคราะห์มากำหนดกลยุทธ์ พัฒนาบริการให้ลูกค้าได้ตรงจุด เช่น ข้อมูลจำนวนผู้ใช้บริการ เราต้องแยกประเภทให้เข้าใจแนวโน้ม รูปแบบการเดินทาง แล้วปรับปรุงคุณภาพบริการให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย รวมถึงกำหนดเป้าที่สามารถวัดผลได้จริงกับทีมงาน หากผลสำเร็จหรือไม่สำเร็จ เราก็รู้ได้จากข้อมูลว่าจะต้องพัฒนาตรงจุดไหนเพิ่มเติม

นางสาวกุลพรภัสร์ ย้ำว่าแม้ “TS-HUB” จะเป็นก้าวสำคัญในการวางรากฐานสู่ระบบขนส่งมวลชนอัจฉริยะ ที่สอดรับกับเป้าหมายด้านการลดคาร์บอนอย่างเป็นรูปธรรม และมีความพร้อมในการเชื่อมต่อกับโครงข่ายขนส่งสาธารณะรูปแบบอื่น ๆ เพื่อรองรับการเป็นสมาร์ทซิตี้ในอนาคต แต่ความเป็นจริงของธุรกิจรถเมล์มีหลายภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ให้บริการผู้โดยสารวันละหลายแสนคน มีพนักงานอีกกว่า 5,000 คน ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงใดย่อมต้องใช้ระยะเวลาในการดำเนินการ เพราะ TSB เชื่อว่าต้องพัฒนา “คน” ไปพร้อมกับ “เทคโนโลยี” สร้างงานก่อเกิดอาชีพให้คนไทย เศรษฐกิจไทย เติบโตไปคู่กันถึงจะเป็นการยกระดับที่ยั่งยืน

“ห้องวอรูม จะเป็นศูนย์รวม มองเห็นรถทั้งหมด มองเห็นเส้นทาง ปัจจุบัน 2,350 คัน ในอนาคตมีแผนจะเพิ่มไปที่ 5,000 คันข้อมูลเหล่านี้จะสามารถนำไปวิเคราะห์ใช้ AI วิเคราะห์ ทำให้มีการใช้บุคลากรน้อยลง ปัญหาคอยรถนาน ลดลง การร้องเรียนต่างๆ ลดลง และเชื่อว่าที่สุดความพึงพอใจจะมากขึ้นไปเกือบ 100% การปฎิรูปไม่ได้แค่ใช้เม็ดเงินแต่เป็นการทุ่มเทและใส่ใจ นำข้อมูลในดาต้า จะนำมาพัฒนาปรับปรุงทุกมิติ และสุดท้ายทำให้ประชาชนได้รับบริการที่มีคุณภาพ สะดวก รวดเร็ว แม้ลงทุนเพิ่มแต่จะไม่มีการบวกเพิ่มค่าโดยสารใดๆ”

ทั้งนี้ บริษัทฯยังมีแผนจะขยายการให้บริการออกไปในจังหวัดรอบกทม. เช่น อยุธยา สมุทรสงคราม สมุทรปราการ ที่จะเข้าไปช่วยในการเดินรถโดยสาร เชื่อมั่น มุ่งมั่น พัฒนาการให้บริการ ยกระดับรถเมลฺสาธารณะให้ดียิ่งขึ้น


@ปีนี้ ตั้งเป้าผู้โดยสาร 5 แสนคน/วัน

นางสาวกุลพรภัสร์กล่าวว่า ปัจจุบันผู้โดยสารของไทยสมายล์บัสเพิ่มขึ้นเป็น 4 แสนคน/วัน สะท้อนถึงความมั่นใจในการใช้บริการของประชาชน โดยเฉพาะบัตร HOP Card ที่มียอดใช้เฉลี่ยเกือบ 2 แสนคน/วัน สามารถเดินทางด้วยรถไทยสมายบัส สูงสุดแค่ 40 บาทไม่จำกัดเที่ยวหากเชื่อม รถต่อเรือ จะเป็นสูงสุด 50 บาทตลอดวัน ครอบคลุมเรือ 3 เส้นทาง และรถ 123 เส้นทาง ส่งผลให้มีรายได้เพิ่มขึ้น ซึ่งจะพัฒนาด้านการตลาด ขยายบัตร HOP Card เพิ่มขึ้น และปีนี้ ตั้งเป้าจำนวนผู้โดยสาร ปีนี้ 5 แสน -5.5 แสนคน/วัน ขณะที่เปิดเทอม จะมีโปรโมชั่นช่วยลดภาระผู้ปกครอง ส่วนเด็กอายุต่ำกว่า 7 ปี ยกเว้นค่าบริการ

นอกจากนี้ ยังมีการเปิดตัวท่าเรือ “สยามเจริญนคร” เป็นจุดจอดเรือแห่งที่ 10 ให้บริการรับส่งผู้โดยสารในเส้นทาง สยามเจริญนคร - วัดวรจรรยาวาส – สาทร - ไอคอนสยาม - ราชวงศ์ - ราชินี - วัดอรุณฯ - ท่าช้าง - พรานนก – พระปิ่นเกล้า รองรับการเดินทางท่องเที่ยวของพี่น้องประชาชน ที่สามารถเดินทางไปสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญริมน้ำเจ้าพระยาได้ แบบไม่ต้องเผชิญกับปัญหารถติด อันจะช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวทางน้ำพร้อมกับลดปัญหามลพิษของกรุงเทพมหานครได้อีกด้วยฃ


@ปรับสูตรค่าโดยสารทำรายได้หาย เดือนละ 7 ล้านบาท

ด้านนายวรวิทย์ ชาญชญานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายปฏิบัติการและกลยุทธ์ บริษัท ไทย สมายล์ บัสจำกัด กล่าวว่า ปัจจุบัน ให้บริการตามใบอนุญาต 123 เส้นทาง ปริมาณผู้โดยสารเพิ่มขึ้นเฉลี่ยวันละ 4 แสนคน/วัน เทียบปีก่อนที่มีเฉลี่ย 3.8 แสนคน/วัน โดยมีรายได้ประมาณ 7 ล้านบาท/วัน โดยปัจจุบันใช้รถให้บริการจำนวน 1,650 คัน/วัน มีรายได้เฉลี่ย 3,500 บาท/คัน/วัน ถือว่าระดับที่คุ้มค่าต้นทุน และมีรายได้สูงสุด 3,700 บาท- 4,000 บาท/คันในบางวัน โดยภายในสิ้นปี 2568 มีแผนจะเพิ่มการใช้รถเพิ่มเป็น 2,150 คัน/วัน ขณะที่จำนวนรถทั้งหมดที่มี จำนวน 2,350 คัน

ทั้งนี้จากที่ บริษัทฯมีการคำนวณอัตราค่าโดยสารรูปแบบใหม่ คือ ขึ้นปัดขึ้น ลงปัดลง โดยหากโดยสารขึ้นที่ป้ายย่อยใด ค่าโดยสารจะถูกคิด “ปัดขึ้น” ไปที่ Main Bus ( ป้ายหลัก) ตามตารางค่าโดยสารถัดไป ส่วน”ปัดลง”กรณีลงที่ป้ายย่อยใด ค่าโดยสารจะถูกคิดราคาที่รถขับผ่านมาแล้ว เป็นการคิดตามการเดินทางจริงและเป็นธรรมกับผู้โดยสาร แต่ยอมรับว่า ทำให้รายได้ของบริษัทฯ หายไป 7 ล้านบาท/เดือน ซึ่งจะเริ่มเห็นผลในเดือนเม.ย. 68 เป็นต้นไป นอกจากนี้ ยังมีส่วนเดิมที่ชดเชย บัตร HOP ประมาณ 8 ล้านบาท/เดือน ดังนั้น หลังจากนี้ จะมีรายได้หายไปรวมประมาณ 15 ล้านบาท/เดือน


อย่างไรก็ตาม ในด้านผลดำเนินงาน มี Operating Cost เป็นบวกตั้งแต่เดือนพ.ย. 2567 แต่ยังขาดทุนสุทธิ ขณะที่ปี 2568 ตั้งเป้าหมายผู้โดยสารเพิ่มเป็น 5-5.5 แสนคน/วัน โดยมีสัดส่วนผู้ใช้บริการเพิ่มจาก 36% เป็น 40-41 % ต่อวัน

สำหรับ รายได้ที่ลดลงจากการปรับสูตรคำนวนอัตราค่าโดยสารนั้น บริษัทฯเตรียมเสนอขอปรับโครงสร้างตารางค่าโดยสารใหม่ จากปัจจุบัน มี 3 อัตรา คือ 15 - 20-25 บาท เป็น 5-6 อัตรา เช่น 15-17-20-22-25 บาท เพื่อลดช่องว่างราคาลง สะท้อนการใช้บริการจริงและเป็นธรรมกับผู้โดยสารและผู้ให้บริการมากขึ้น เพราะอัตราปัจจุบัน กรอบห่าง 5 บาทต่อช่วง ถือว่าค่อนข้างกว้าง นอกจากนี้ได้มีการปรับลดต้นทุนค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เช่น บริหารจัดการด้านซ่อมบำรุง เพิ่มประสิทธิภาพพนักงาน อัตราส่วนกับการจ้างงาน เท่าที่จะทำได้ และต้องไม่กระทบต่อคุณภาพการให้บริการ


กำลังโหลดความคิดเห็น