xs
xsm
sm
md
lg

“สุริยะ-มนพร” เช็กโปรเจกต์อีสานตอนบน ชะลอสร้างสนามบินมุกดาหาร-จี้รถไฟเร่งเวนคืน "บ้านไผ่-นครพนม"

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“สุริยะ-มนพร” ลงพื้นที่ “นครพนม” ประชุมร่วมภาครัฐ-เอกชน เร่งรัดก่อสร้าง ทล.223, ถนนเลียบแม่น้ำโขงนาคาวิถี เสร็จปี 70 หนุน ศก.อีสานตอนบน ทางคู่ "บ้านไผ่-นครพนม" ล่าช้า 35% จี้ รฟท.เร่งเวนคืน เบรกข้อเสนอสร้างสนามบินมุกดาหาร ชี้ลงทุนสูงใช้สนามบินใกล้เคียงได้ จ่อคุยสะหวันนะเขตเชื่อมเดินทาง

วันนี้ (28 เม.ย. 2568) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ได้ลงพื้นที่จังหวัดนครพนม พร้อมด้วย นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม และผู้บริหารกระทรวงคมนาคม ติดตามงานกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 2 (สกลนคร นครพนม และมุกดาหาร) ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการคมนาคมขนส่ง เนื่องจากคณะรัฐมนตรี(ครม.) กำหนดจัดประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 2/2568 ณ จังหวัดนครพนม วันที่ 29 เม.ย. 2568

นายสุริยะกล่าวว่า ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 2 มีโครงการที่สำคัญที่ได้รับรายงาน ได้แก่ โครงการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข 223 ตอนอำเภอนาแก‐บ้านต้อง อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม ของกรมทางหลวง (ทล.) เป็นทางหลวงในแนวตะวันตก-ตะวันออก เชื่อมต่อจังหวัดสกลนคร-จังหวัดนครพนม ซึ่งสามารถเชื่อมต่อไปยังสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 2 (มุกดาหาร-สะหวันนะเขต) และแห่งที่ 3 (นครพนม-คำม่วน) ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้าง จึงได้มอบหมายให้ ทล.เร่งดำเนินการตามขั้นตอนเพื่อให้สามารถลงนามในสัญญาและเริ่มดำเนินการก่อสร้างได้โดยเร็ว รวมทั้งกำกับดูแลการดำเนินโครงการให้เป็นไปตามแผนงานที่กำหนด ให้สามารถเปิดให้บริการได้ในปี 2570

สำหรับโครงการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข 223 ตอนอำเภอนาแก‐บ้านต้อง จ.นครพนม ระยะทาง 11.411 กม. (กม.53+164.000-กม.64+575.000 ) งบประมาณก่อสร้าง 450 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการปี 2568-2570

นอกจากนี้ ยังมีโครงการก่อสร้างถนนเลียบแม่น้ำโขงนาคาวิถี ช่วงสะพานมิตรภาพไทย-ลาว (แห่งที่ 2) - พระธาตุพนม ของกรมทางหลวงชนบท (ทช.) ระยะทางรวม 43.485 กม. ซึ่งเป็นการยกระดับถนนเพื่อการท่องเที่ยวและเส้นทางชุมวิวทิวทัศน์เลียบริมฝั่งแม่น้ำโขง ซึ่งทช.รายงานความก้าวหน้าที่ 82% เร็วกว่าแผน 2.018% จึงได้มอบหมายให้ ทช. กำกับดูแลการดำเนินโครงการให้เป็นไปตามแผนงานที่กำหนดสามารถเปิดให้บริการในปี 2570 กรณีประสบปัญหาในการดำเนินการ ให้เร่งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและประชาชนเพื่อสร้างความเข้าใจและร่วมกันแก้ไขปัญหา ไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินโครงการ


@จี้แก้ปัญหาเวนคืน รถไฟสายใหม่ “บ้านไผ่-นครพนม” สร้างช้า 35%

ในส่วนของระบบราง การรถไฟแห่งประะเทศไทย (รฟท.) อยู่ระหว่างก่อสร้างโครงการรถไฟทางคู่สายใหม่ เส้นทางบ้านไผ่-นครพนม ระยะทาง 355 กม. วงเงินลงทุน 66,785.53 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยพัฒนาศักยภาพการขนส่งทางรางของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้มอบให้การรถไฟแห่งประเทศไทยเร่งรัดจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินและส่งมอบพื้นที่โดยเร็ว รวมทั้งกำกับดูแลการก่อสร้างให้เป็นไปตามแผน เพื่อให้สามารถเปิดให้บริการในปี 2570

รฟท.รายงานว่า การก่อสร้างภาพรวม ณ เดือนมี.ค. 2568 มีความคืบหน้า 14.462% (แผนงาน 50.066%) ล่าช้า 35.604% โดยมี 2 สัญญา ได้แก่ สัญญาที่ 1 ช่วง บ้านไผ่-หนองพอก ระยะทาง 177.50 กม. มีกิจการร่วมค้า เอเอส - ช.ทวี แอนด์ แอสโซซิเอทส์ เป็นผู้รับจ้าง วงเงิน 27,100 ล้านบาท เริ่มงานวันที่ 16 มี.ค. 2566 สิ้นสุดวันที่ 22 ก.พ. 2570 มีความคืบหน้า 26.139% (แผนงาน 52.845%) ล่าช้า 26.706%

สัญญา 2 ช่วงหนองพอก-สะพานมิตรภาพ 3 ระยะทาง 177.25 กม. มี บมจ.ยูนีค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น (UNIQ) เป็นผู้รับจ้าง วงเงิน 28,310 ล้านบาท เริ่มงานวันที่ 21 เม.ย.2566 สิ้นสุดวันที่ 30 มี.ค. 2570 มีความคืบหน้า 3.286 % (แผนงาน 47.405%) ล่าช้า 44.119%

"ปัญหาอุปสรรคที่ทำให้เกิดความล่าช้าเกิดจากการเวนคืนที่ดินไม่ได้ตามแผนงาน โดยขณะนี้ยังเวนคืนและเข้าพื้นที่ไม่ได้ 20% ทำให้งานก่อสร้างล่าช้า โดยเฉพาะสัญญาที่ 2 การก่อสร้างล่าช้าถึง 44% จึงให้รฟท.หาแนวทางเร่งรัดการก่อสร้างให้กลับมาทันตามแผนงาน เพราะในการลงนามสัญญาจะมีกรอบว่าจะต้องส่งมอบพื้นที่เท่าไร ซึ่งจะมีพื้นที่ ที่ส่งมอบแล้วและเอกชนสามารถเข้าก่อสร้างได้ก่อน ไม่ใช่รอพื้นที่ที่ยังส่งมอบไม่ได้แล้วอ้างเป็นเหตุว่างานล่าช้า" นายสุริยะกล่าว

นายสุริยะกล่าวว่า การพัฒนาข้างต้นจะเป็นเส้นทางสายเศรษฐกิจที่สำคัญของภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนที่สามารถเชื่อมโยงไปยัง สปป.ลาว ประเทศเวียดนาม และภาคใต้ของประเทศจีน ที่ไม่เพียงแต่สนองนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรอง ยังส่งเสริมการเป็นประตูการค้าสู่อนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ที่จะช่วยพัฒนาพื้นที่ในทุกมิติ สร้างงาน สร้างรายได้ และสร้างโอกาส เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชน


@ชะลอสนามบินมุกดาหาร ชี้ลงทุนสูงจ่อคุยสะหวันนะเขตเชื่อมเดินทาง

นายสุริยะกล่าวว่า จากที่ได้ประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนในการพัฒนาจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน) ตอนบน 2 (สกลนคร นครพนม และมุกดาหาร) ร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัด และภาคเอกชน เพื่อรับฟังข้อเสนอแนะต่างๆ และแนวทางการดำเนินงานจากทุกภาคส่วน เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมในจังหวัดนครพนมและพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษให้มีความสมบูรณ์ เชื่อมโยงเส้นทางการค้าระหว่างไทย-สปป.ลาว ในฐานะรองนายกรัฐมนตรี กำกับดูแลพื้นที่กลุ่มภาคอีสานตอนบน ได้จัดสรรงบกลางวงเงิน 200 ล้านบาท ช่วยพัฒนาพื้นที่เสริมสร้างแหล่งท่องเที่ยว

ส่วนกรณีที่ภาคเอกชนเสนอให้ก่อสร้างสนามบินมุกดาหาร ซึ่งมีการลงทุนสูงและต้องศึกษาเรื่องความเหมาะสมและคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ ซึ่งเอกชนก็เสนอให้ใช้สนามบินสะหวันนะเขตแทน แล้วส่งต่อผู้โดยสารกลับมาในประเทศไทย เรื่องนี้ กระทรวงคมนาคมขอไปหารือกับกระทรวงการต่างประเทศก่อน เนื่องจากข้อเสนอนี้ไม่ชัดเจน ที่บอกว่าจะทำให้ค่าโดยสารถูกลงกรณีสายการบินราคาประหยัด (Low cost) ของไทยไปลงที่สนามบิน สปป.ลาวแล้วให้ผู้โดยสารข้ามแดนกลับมา อย่างไรก็ตาม ต้องเจรจาดูตัวเลขว่าถูกกว่าจริงหรือไม่ และหลักการสามารถใช้สนามบินใกล้เคียงที่มีทั้งที่สกลนคร นครพนมได้


@เร่งเจรจาลาว ลุยปรับปรุงหมายเลข 12 (R12) ตามเงื่อนไข

สำหรับโครงการปรับปรุงเส้นทางหมายเลข 12 (R12) ช่วงเมืองท่าแขก-จุดผ่านแดนนาเพ้า สปป.ลาว (โครงการ R12) ระยะทางประมาณ 147 กม.ที่ ครม.มีมติเห็นชอบการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ สปป.ลาว จำนวน 1,833 ล้านบาทนั้น จากการหารือในวันนี้ ได้ขอความร่วมมือให้ สปป.ลาวใช้ผู้รับเหมาไทย ตามเงื่อนไข เนื่องจากทาง สปป.ลาว ขอที่จะก่อสร้างโดยใช้ผู้รับเหมา สปป.ลาว เพื่อให้การดำเนินงานมีความต่อเนื่องและรวดเร็ว ซึ่งโครงการดังกล่าวเมื่อเสร็จสิ้นแล้วจะสามารถสร้างประโยชน์ให้ประชาชนและการขนส่งสินค้าของทั้งสองประเทศอย่างมาก จึงอยากให้สปป.ลาวทำตามเงื่อนไข เพื่อให้โครงการได้เริ่มต้น โดยเร็ว

“กระทรวงคมนาคมได้ดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลและนายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร เดินหน้าพัฒนาการคมนาคมให้ครอบคลุมทุกมิติ เพื่อส่งเสริมการเดินทางและการเชื่อมโยงระหว่างประเทศ ประชาชนสามารถเดินทางได้สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยมากขึ้น และเมื่อโครงการต่างๆ แล้วเสร็จจะสร้างประโยชน์สำคัญต่อประชาชนในพื้นที่ ช่วยสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในระยะยาว ทั้งการเพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจและการค้า ช่วยลดต้นทุนการขนส่งสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมจากภาคอีสานไปยังประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงสนับสนุนการท่องเที่ยวในจังหวัดนครพนมและพื้นที่ใกล้เคียง และยกระดับคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชน เพิ่มโอกาสการจ้างงานในภาคโลจิสติกส์ การค้าชายแดน และการพัฒนาพื้นที่จังหวัดนครพนม และภาคอีสานอย่างยั่งยืน” นายสุริยะกล่าว






กำลังโหลดความคิดเห็น