“ไทยออยล์” เดินหน้าโครงการ CFP แล้วเสร็จตามแผน โดยว่าจ้างที่ปรึกษาทางเทคนิคมาประเมินงานที่เหลือเพื่อเตรียมลุยงานต่อ ยันไม่มีแผนซื้อหุ้นคืน ชี้นโยบายขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ไม่ส่งผลโดยตรง แต่กระทบทางอ้อมทำให้ความต้องการใช้น้ำมันลดฉุดค่าการกลั่นต่ำลง
นายบัณฑิต ธรรมประจําจิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จํากัด (มหาชน) หรือ TOP เปิดเผยในการประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2568 ว่า ตามที่ได้รับอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นบริษัทฯ ในการเพิ่มเงินลงทุนในโครงการพลังงานสะอาด (Clean Fuel Project หรือ CFP) จำนวน 63,028 ล้านบาทเมื่อวันที่ 21 ก.พ.ที่ผ่านมา ขณะนี้บริษัทได้จัดจ้างที่ปรึกษาทางเทคนิคที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญ ทำงานร่วมกับทีม เพื่อประเมินส่วนที่เหลือทั้งระยะเวลาและค่าใช้จ่ายในการดำเนินการให้แล้วเสร็จ หากมีความต้องการในการหาจัดหาผู้รับเหมาหลักรายใหม่ และผู้รับเหมาช่วง ต้องดำเนินการด้วยความรอบคอบเป็นไปตามสัญญา โดยมีกระบวนการประเมินความรู้ความสามารถ และความพร้อมของผู้รับเหมาอย่างละเอียด ซึ่งมีที่ปรึกษาอิสระร่วมกันกลั่นกรอง ให้เกิดความมั่นใจว่ากระบวนการคัดเลือก ข้อกำหนดต่างๆ มีความเหมาะสม เพื่อให้มั่นใจว่าจะเดินหน้าโครงการ CFP ให้แล้วเสร็จตามกำหนดและผลิตเชิงพาณิชย์ในไตรมาสที่ 3/2571
แหล่งเงินทุนในโครงการ CFP มาจาก 2 ส่วน คือ ส่วนแรกมาจากเงินสดคงเหลือและกระแสเงินสด จากการดำเนินงานของบริษัท ประมาณ 1,200-1,700 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนที่ 2 จะเป็นการหาแหล่งเงินทุนจากในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นการออกหุ้นกู้ การกู้ยืมเงินจากธนาคารพาณิชย์ รวมถึงการพิจารณาหาเครื่องมือทางการเงินใหม่ๆ เช่น การออกตราสารหนี้ที่มีลักษณะคล้ายๆทุน รวมถึงการบริหารจัดการทรัพย์สินให้เกิดประโยชน์สูงสุด คาดว่าจะได้เงินประมาณ 1,000-1,500 ล้านเหรียญสหรัฐ
ส่วนแนวโน้มราคาน้ำมันดิบดูไบในปี 2568 คาดว่าจะปรับลดจากปีก่อน เนื่องจากตลาดมีอุปทานน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นมาจากกลุ่มโอเปกและนอกกลุ่มโอเปก แม้ว่าอุปสงค์น้ำมันดิบเพิ่มขึ้นแต่น้อยกว่าซัปพลายที่เพิ่ม และความต้องใช้น้ำมันเติบโตช้าลงจากนโยบายการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯกับประเทศคู่ค้า รวมทั้งต้องจับตาดูมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐที่ฯ อาจมีผลต่อรัสเซีย อิหร่าน หรือเวเนซุเอลา ส่งผลให้อุปทานน้ำมันดิบตึงตัวขึ้นได้ในอนาคต
ค่าการกลั่นในปี 2568 มีแนวโน้มลดลงในครึ่งแรกปี 2568 จากนโยบายสหรัฐฯ ที่ปรับขึ้นภาษีนำเข้าจากประเทศคู่ค้ากระทบต่อเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัวลง ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันลดลงตามไปด้วย แต่หากประเทศคู่ค้าได้มีการเจรจากับสหรัฐฯได้เร็วแค่ไหน อาจจะช่วยลดผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก ทำให้ตลาดมีโอกาสฟื้นตัวในช่วงครึ่งปีหลัง
อย่างไรก็ตาม บริษัทไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ เนื่องจากน้ำมันดิบได้ยกเว้นภาษีอากร ส่วนน้ำมันสำเร็จรูปที่ส่งออกก็ได้ยกเว้นภาษีเช่นกัน รวมทั้งบริษัทส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปจำนวนน้อย และไม่ได้ส่งออกไปสหรัฐฯ แต่จะมีผลทางอ้อมการขึ้นภาษีตอบโต้ระหว่างคู่ค้าทั่วโลกโดยเฉพาะสหรัฐและจีนทำให้เศรษฐกิจมีโอกาสที่จะชะลอตัว ดังนั้นส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำมันเติบโตช้าลง ขณะเดียวกันกลุ่มโอเปกได้มีการปรับเพิ่มกำลังการผลิตตั้งแต่เดือนเม.ย.นี้ เป็นต้นมา ทำให้เห็นว่าราคาน้ำมันตอนนี้ปรับตัวลงในช่วงระยะสั้นพอสมควร มีผลต่อกำไรและขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันของบริษัทได้
นายบัณฑิตกล่าวว่า ไทยออยล์ไม่มีแผนพิจารณาการซื้อหุ้นคืน เนื่องจากบริษัทมีการลงทุนโครงการ CFP ทำให้ต้องนำสภาพคล่องส่วนเกินไปใช้ และเน้นการสร้างผลตอบแทนจากการเติบโตทางธุรกิจจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าสำหรับผู้ถือหุ้น
