การตลาด - ศึกแอร์เริ่มไต่ระดับความร้อนพุ่งต่อเนื่อง เหตุปีนี้หนาวนาน ร้อนช้า แต่ร้อนไม่แพ้ปีก่อนแน่ๆ! ผู้บริโภคพร้อมเปย์ มองแอร์เป็นสินค้าจำเป็น คาดส่งผลให้ปีนี้ยอดขายแอร์น่าจะมูลค่ารวมไม่เกิน 35,000 ล้านบาท หรือยังเติบโตที่ 5-6% แม้จะโตน้อยกว่าปีก่อนก็ตาม ตลาดเปิดมาอย่างคึกคัก โดยมีแอร์สัญชาติญี่ปุ่นนำทีมบุก ฝ่าดงแบรนด์จีนที่ขอประกาศชิงผู้นำ
ในปี 2567 ที่ผ่านมา ภาพรวมตลาดแอร์เติบโตถึง 14% คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 32,610 ล้านบาท เนื่องจากสภาพอากาศที่ร้อนจัดอย่างมาก
ส่วนปี 2568 นี้ แน่นอนว่าผู้บริโภคเตรียมตัวและเตรียมใจรับมือกับสภาพอากาศช่วงหน้าร้อนนี้ไว้เช่นกัน และคาดว่าความต้องการในตลาดแอร์ปีนี้ยังมีสูงอยู่ โดยยังมีช่องว่างที่จะทำยอดขายแอร์ได้ ไม่ว่าจะเป็น แอร์เครื่องแรกของบ้านในกลุ่มที่ซื้อบ้านหรือสร้างบ้านใหม่ และกลุ่มที่เริ่มมีเงินพอในกระเป๋าและพร้อมจะซื้อใช้แล้วในปีนี้โดยเฉพาะในตลาดต่างจังหวัด รวมถึงการซื้อเปลี่ยนทดแทนเครื่องเก่า และซื้อติดตั้งเพิ่มเติมจากที่มีอยู่แล้ว เป็นต้น จึงเชื่อได้ว่า ปี 2568 ตลาดแอร์จะยังเติบโตได้ 5-6% หรือมีมูลค่ารวมที่ 34,000-35,000 ล้านบาท
*** เพาเวอร์บาย อัดแคมเปญเด็ด
นางสาวศิวาพร สัมมุตถี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส ฝ่ายจัดซื้อออมนิชาแนล บริษัท เพาเวอร์บาย จำกัด ในเครือเซ็นทรัล รีเทล เปิดเผยว่า “ทุกปีช่วงซัมเมอร์เป็นช่วงเวลาที่ตลาดเครื่องปรับอากาศ พัดลม และตู้เย็นมีความคึกคักที่สุด จากปัจจัยอุณหภูมิที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง สำหรับภาพรวมตลาดเครื่องปรับอากาศของไทยในปี 2567 มีมูลค่ารวมกว่า 32,100 ล้านบาท โดยช่วงพีคของยอดขายอยู่ในเดือนเมษายน – พฤษภาคม ในขณะที่อัตราการเข้าถึงเครื่องปรับอากาศของครัวเรือนไทยอยู่ประมาณ 40% จากข้อมูลดังกล่าว บริษัทฯ เล็งเห็นว่าตลาดเครื่องปรับอากาศไทยยังมีโอกาสขยายตัวได้อีก
เพาเวอร์บาย ได้จับมือกับแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าชั้นนำ เตรียมสต๊อกสินค้าให้เพียงพอโดยเฉพาะรุ่นที่ได้รับความนิยม และผลิตภัณฑ์รุ่นล่าสุดที่มาพร้อมความโดดเด่นด้วยนวัตกรรม และฟังก์ชันที่ตอบโจทย์ เช่น ระบบกรองฝุ่น PM 2.5 ที่ช่วยปรับคุณภาพอากาศให้สะอาดยิ่งขึ้น และเทคโนโลยีอินเวอร์เตอร์ที่ช่วยประหยัดพลังงาน นอกจากนี้ สินค้าคลายร้อนประเภทอื่นๆ เช่น พัดลมไอเย็น พัดลมทาวเวอร์ และตู้เย็นขนาดต่างๆ ก็ได้รับความนิยมสูงขึ้นในช่วงนี้เช่นกัน
ล่าสุดเปิดตัวแคมเปญ “Summer ลดร้อนแรง แอร์ BTU ละบาท” มอบโปรโมชั่นสุดคุ้มทั้งช่องทางออฟไลน์และออนไลน์ ตั้งแต่วันนี้ถึง 7 มิถุนายน 2568 เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายของผู้บริโภคให้ได้ช้อปแบบจุใจตลอด 3 เดือน โดยมอบส่วนลดสูงสุด 70% และดีลพิเศษมากมาย
** มิตซูบิชิ เคลมเป็นเบอร์ 1 อัด 1.2 พันล้านลุย
นายโทชิยูกิ อีซูกะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มิตซูบิชิ อีเล็คทริค กันยงวัฒนา จำกัด เปิดเผยว่า ปีที่ผ่านมา มิตซูบิชิ อีเล็คทริค ยังเป็นแบรนด์ที่ได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภค เห็นได้จากรางวัล No.1 Brand Thailand และ Thailand’s Most Admired Brand ในหมวดเครื่องปรับอากาศและปั๊มน้ำ อีกทั้งยังรักษาส่วนแบ่งการตลาดอันดับหนึ่งในหมวดแอร์บ้าน ส่งผลให้ยอดขายปีงบประมาณ 2567 (เม.ย.67 -มี.ค.68) ที่กำลังจะปิดลงในเดือนมี.ค. นี้ จะเติบโตเทียบเท่ากับปีงบประมาณ 2566
ส่วนในปีงบประมาณ 2568 เชื่อว่าจะยังคงมียอดขายแอร์เติบโตอีก 10% รักษาผู้นำตลาดด้วยส่วนแบ่งมากกว่า 30% โดยปีนี้จะเปิดตัวแอร์รุ่นใหม่ 3 ซีรีส์ คือ 1.มิสเตอร์สลิม ระบบอินเวอร์เตอร์ รุ่น XZ Series 2.มิสเตอร์สลิม ระบบอินเวอร์เตอร์ รุ่น GZ Series 3.มิสเตอร์สลิม ระบบอินเวอร์เตอร์ รุ่น Happy Plus Inverter (MZ Series) ส่วนตลาด B2B กำลังขยายตัวทำตลาดในกลุ่มโรงพยาบาล โรงเรียน โรงงาน มากขึ้น ภายใต้งบการตลาดกว่า 1,200 ล้านบาท เน้นการสื่อสารผ่านช่องทางออนไลน์เพื่อเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคยุคใหม่ โดยเฉพาะโซเชียลมีเดีย ทำกิจกรรมส่งเสริมการขาย และสร้างการรับรู้ผ่านสื่อออฟไลน์
นายโทชิยูกิ กล่าวด้วยว่า ปีที่ผ่านมาเต็มไปด้วยความยากลำบาก เศรษฐกิจฟื้นตัวล่าช้า ผู้บริโภคชะลอและระมัดระวังการใช้จ่าย เพราะปัญหาหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูง รวมถึงภาคเหนือและภาคใต้ประสบกับอุทกภัยที่รุนแรง รวมถึงสภาพอากาศที่ร้อนมากๆ ด้วย ทำให้ตลาดแอร์มีการแข่งขันรุนแรง มีการลดราคามากกว่าปกติ ส่งผลให้บริษัทหันกลับมาทบทวนและให้ความสำคัญกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และยกระดับการบริการให้ดียิ่งขึ้น
โดยปีนี้มีแอร์รุ่นใหม่หลายรายการ เพื่อแข่งขันกับตลาด เพราะเชื่อว่าปีนี้จากอากาศหนาวที่ยาวนาน ทำให้ช่วงหน้าร้อนสั้นลง ส่งผลให้ตลาดแอร์อาจจะโตไม่เกิน 5% หรือมีมูลค่าที่ 33,500 ล้านบาท การเติบโตดังกล่าวจะมาจาก 2 ปัจจัยหลัก คือ 1.ความต้องการที่อยู่อาศัยที่เพิ่มขึ้น และ2.ความต้องการเครื่องปรับอากาศที่ประหยัดพลังงาน ส่งผลให้มีความต้องการแบบซื้อเปลี่ยนมากขึ้น
**ไฮเออร์ชูกลยุทธ์โกบอลแบรนด์ กรำศึกตลาดแอร์
นายต่ง เจี้ยนผิง ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไฮเออร์ อีเลคทริคอล แอพพลายแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ไฮเออร์ถือเป็นโกลบอลแบรนด์สัญชาติจีน ซึ่งมีแบรนด์และธุรกิจอื่นๆ อีกหลายตัวที่ทำตลาดอยู่ทั่วโลก ขณะที่ในไทยไฮเออร์ยังมีภาพลักษณ์เป็นเพียงแบรนด์จีนอยู่ ปีนี้จึงต้องการโฟกัสและสร้างการรับรู้ถึงความเป็นโกลบอลแบรนด์ของไฮเออร์สู่ผู้บริโภคคนไทยมากขึ้น เพราะไทยถือเป็นตลาดสำคัญของไฮเออร์ทั้งด้านยอดขายและฐานการผลิต
โดยปีนี้พร้อมใช้งบการตลาดกว่า 1,200 ล้านบาท เปิดตัวเครื่องใช้ไฟฟ้ารุ่นใหม่ 7 หมวด รวมกว่า 50 รุ่น ทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายทุกเซกเมนต์ ได้แก่ แอร์บ้าน, แอร์เชิงพาณิชย์, ตู้เย็น, เครื่องซักผ้า, ตู้แช่, ทีวี และเครื่องทำน้ำอุ่น มั่นใจว่าถึงสิ้นปีจะมียอดขายถึง 14,000 ล้านบาท โต 26-28%
นายเกษมสันต์ โอซาว่า ผู้อำนวยการฝ่ายขาย บริษัท ไฮเออร์ อีเลคทริคอล แอพพลายแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวเสริมว่า สำหรับสินค้ากลุ่มแอร์ ปีนี้ไฮเออร์ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 6,000 ล้านบาท โต 20% น้อยกว่าปีก่อนที่มียอดขาย 5,100 ล้านบาท เติบโตถึง 26% เนื่องจากเชื่อว่าปีนี้จากสภาพอากาศหนาวที่มากกว่าปกติและอาจลากยาวมาจนถึงปลายเดือนกุมภาพันธ์ หน้าร้อนจะสั้นลง ตัทำให้ตลาดแอร์มูลค่ากว่า 30,000 ล้านบาทนั้น น่าจะโตได้เพียง 3%
**ไมเดีย ตั้งเป้า Top 3 ในตลาดแอร์สิ้นปีนี้
นายธนวัฒน์ วงศ์ชาญวุฒิ ผู้ช่วยผู้จัดการทั่วไป บริษัท เอ็มดี คอนซูเมอร์ แอพพลายแอนซ์ (ประเทศไทย) แบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้า ไมเดีย (Midea) กล่าวว่า สำหรับตลาดแอร์ในไทยพบว่า ปี 2023 มีมูลค่าอยู่ที่ 1.64 พันล้านดอลลาร์สหรัฐและคาดว่าจะเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ที่ 5.93% ไปจนถึงปี 2029 ด้วยปัจจัยจากสภาพอากาศที่ร้อนขึ้น
ส่งผลให้ปีนี้บริษัทพร้อมทุ่มงบเพิ่มเป็นเท่าตัว รุกตลาดแอร์เต็มกำลังภายใต้คอนเซ็ปต์ “แกร่ง ทน ครบเครื่อง” มุ่งสร้างความแข็งแกร่งย้ำจุดขายของแบรนด์ ขยายฐานลูกค้า และเปิดตัวแอร์ใหม่หลายรุ่น เช่น รุ่นแฟล็กชิป mPro Easy Inverter และรุ่น Tornado Easy Fixed Speed และผลิตภัณฑ์ฮีโร่ที่เปิดตัวในไทยเป็นที่แรกของโลก คือ รุ่น ‘Numen’ พร้อมนวัตกรรม AI ECOMASTER และฟีเจอร์อัจฉริยะมากมาย โดยมี “บัวขาว บัญชาเมฆ” รับบทพรีเซ็นเตอร์ต่อเนื่องเป็นปี 2 เพื่อตอกย้ำภาพลักษณ์ความแกร่งและความทนทานของไมเดีย มั่นใจว่าจะผลักดันให้ไมเดียก้าวขึ้นสู่ Top 3 แบรนด์ชั้นนำในตลาดแอร์ ด้วยยอดขายแอร์ที่โตขึ้นอีก 200% ขณะที่ปีก่อนไมเดียมียอดแอร์เติบโตถึง 186%
**ทีซีแอล ปักธงเบอร์ 1 ใน 3 ปี
นาย แกรี่ จ้าว กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทีซีแอล อิเล็กทรอนิกส์ (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวว่า ไทยเป็นตลาดสำคัญของทีซีแอล หลังจากที่ทำตลาดในไทยมานานกว่า 20 ปีแล้ว จากนี้มีเป้าหมายเป็นผู้นำตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าให้ได้ภายในปี 2570 หรือใน 3 ปีจากนี้ (พ.ศ. 2568 – 2570) จากสินค้า 4 กลุ่มหลักที่ทำตลาดอยู่ คือ ทีวี แอร์ เครื่องซักผ้าและตู้เย็น อนาคตมีแผนจะนำสินค้ากลุ่มใหม่ๆ เข้ามาทำตลาดเพิ่มอีก เช่น แอร์รถบรรทุก แอร์ห้องครัว โซลาร์เซล เป็นต้น
โดยเฉพาะในกลุ่มแอร์นั้น ปีที่แล้วทีซีแอลมียอดขายโตขึ้น 14% จากปีก่อนหน้าที่โต 20% ส่งผลให้ทีซีแอลเป็นผู้นำตลาดแอร์ในแง่ของจำนวนเครื่อง จากข้อมูลจีเอฟเคที่ระบุว่า ทีซีแอลเป็นผู้นำตลาดแอร์ตั้งแต่เดือนกันยายน 2567 – พฤศจิกายน 2567 แชร์ประมาณ 18%-20% ส่งผลให้ปีนี้ทีซีแอลจะเปิดตัวแอร์รุ่นใหม่เพิ่ม คือ TCL FreshIN 3.0 Series ถือเป็นเจนเนอเรชั่นที่ 3 ของรุ่นนี้ ซึ่งเปิดตัวในไทยเป็นที่แรกของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีจุดเด่นหลักๆ เช่น สั่งงานด้วยเสียง รองรับภาษาไทย ไม่ต้องต่อเชื่อมอินเทอร์เน็ต ฟังก์ชัน มีให้เลือก 3 ขนาด คือ ขนาด 10,000 บีทียู 12,000 บีทียู และ 19,000 บีทียู ส่วนครึ่งปีหลังจะเปิดตัวแอร์รุุ่นใหม่อีก มั่นใจว่าปีนี้ทีซีแอลจะมียอดขายแอร์รวมถึง 5 แสนยูนิต เพิ่มจากปีที่แล้วที่ขายได้ 3.8 แสนยูนิต
**แอลจี ลั่นปีนี้ต้องติดท็อป 5 ในศึกแอร์
นายซองฮัน จอง ประธานกรรมการบริหาร บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ปีนี้แอลจีได้เปิดตัวแอร์รุ่นใหม่ คือ LG DUALCOOL™ AI Air ที่พัฒนาขึ้นมาให้สอดคล้องกับเป้าหมายการเป็น Smart Life Solution Company อย่างแท้จริง ด้วยการผสานรวมนวัตกรรม AI อัจฉริยะที่ก้าวล้ำไปอีกขั้นในเครื่องปรับอากาศภายในบ้าน เพื่อส่งมอบความสะดวกสบายที่ปรับให้เข้ากับความต้องการของแต่ละบุคคลได้ตรงจุดมากยิ่งขึ้น เพราะปัจจุบันเป็นยุคของเทคโนโลยี AI ผู้บริโภคต่างก็มองหาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ทุกด้านได้อย่างชาญฉลาด รวมถึงแอร์ที่กลายเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่จำเป็นสำหรับการอยู่อาศัยในเมืองไทยที่มีอากาศร้อนเกือบตลอดปีไปแล้ว
ด้านนายอำนาจ สิงหจันทร์ หัวหน้าฝ่ายการตลาด บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวต่อว่า ปีนี้แอลจีจะเปิดตัวแอร์รุ่นใหม่ 3 ซีรีส์ ประกอบด้วย 1.รุ่น SAQ ระดับความประหยัดไฟ 5 ดาว 2.รุ่น SCQ ระดับความประหยัดไฟ 3 ดาว และ 3.รุ่น SEQ ระดับความประหยัดไฟ 1 ดาว โดยจะมีขนาดตั้งแต่ 9,000 – 24,000 บีทียู ราคาเริ่มต้นที่ 20,000 บาทขึ้นไป จากที่วางจำหน่ายอยู่ทั้งหมด 7 ซีรีส์ ภายใต้งบการตลาด 100 ล้านบาท ไม่รวมงบโปรโมชั่น พร้อมเปิดตัวแบรนด์แอมบาสเดอร์คนล่าสุด คือ “เจฟ ซาเตอร์” มั่นใจว่าถึงสิ้นปี 2568 นี้ แอลจีจะมียอดขายแอร์กว่า 2,300 ล้านบาท เติบโต 35-40% จากปีก่อนทำได้ 1,600 ล้านบาท หรือในปีนี้เชื่อว่าแอลจีจะขึ้นท็อป 5 ของตลาดแอร์ ด้วยแชร์ 8% จากเดิมอยู่ในอันดับ 6 และมีแชร์ 5-6%
อย่างไรก็ตามในปี 2567 ภาพรวมตลาดแอร์เติบโตถึง 14% คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 32,610 ล้านบาท ส่วนปี 2568 นี้ ยังเชื่อว่าตลาดจะเติบโตได้อีก 6% คิดเป็นมูลค่ารวมที่ 34,567 ล้านบาท โดยกว่า 80% เป็นระบบอินเวอร์เตอร์ และ 20% เป็นระบบธรรมดา เนื่องจากเชื่อว่าปีนี้ตลาดแอร์ยังเติบโตได้อยู่แม้จะน้อยกว่าปีก่อน เพราะปีนี้หน้าร้อนอากาศจะไม่ร้อนมากและมาช้ากว่าปีก่อน ในส่วนของแอลจีมั่นใจว่ายอดขายแอร์จะเติบโตมากกว่าปีก่อน หรือคิดเป็น 10% ของยอดขายรวมแอลจีที่ 17,500 ล้านบาท ที่ตั้งเป้าหมายไว้ในปี 2568 นี้
**โตชิบา ลั่น 3 ปี ครองเบอร์ 1 เครื่องใช้ไฟฟ้า
นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร ประธานกรรมการบริหาร บริษัท โตชิบา ไทยแลนด์ จำกัด กล่าวว่า ตลอด 50 กว่าปีที่ผ่านมา โตชิบาเป็นแบรนด์ญี่ปุ่นที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในไทย และปีนี้เป็นอีกปีที่จะตอกย้ำภาพลักษณ์โตชิบาว่าเป็นแบรนด์สัญชาติญี่ปุ่น ที่มีไลน์อัพสินค้าคลุมคลุมทุกกลุ่ม รวมถึงการมุ่งทำตลาด Mid to High มากขึ้น มั่นใจว่าโตชิบาจะก้าวขึ้นเป็นอันดับ 1 ในตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านได้ในอนาคต
“ปีนี้โตชิบาเชื่อมั่นในประเทศไทยว่ายังคงเติบโต และโตชิบาก็จะเติบโตเช่นกัน โดยบริษัทยังคงมุ่งมั่น ‘นำสิ่งที่ดีสู่ชีวิต’ ให้กับคนไทย ด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมใหม่ๆ มาตรฐานประเทศญี่ปุ่น เพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการของทุกคน รวมถึงเพิ่มความสะดวกสบาย เสริมสร้างสุขภาพที่ดี และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม“
โดยปี 2568 นี้ โตชิบาตั้งเป้ายอดขายเติบโต 25% สู่เป้าหมายการเป็นแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านอันดับ 1 ในไทยให้ได้ใน 3 ปี หากรักษาอัตราการเติบโตมากกว่า 15% ได้ต่อเนื่อง ภายใต้งบการตลาดที่ใช้เพิ่มขึ้น 14% ของยอดขาย จากปกติใช้เพียง 10-12% เท่านั้น
สำหรับเป้าหมายการเป็นเบอร์ 1 ของตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านนั้น สินค้า 5 กลุ่มหลักก็จะต้องขึ้นเป็นเบอร์ 1 ด้วยเช่นกัน ได้แก่ ตู่เย็น, เครื่องซักผ้า, เตาอบไมโครเวฟ, หม้อหุงข้าว และเครื่องทำน้ำอุ่น ขณะที่แอร์คาดว่าจะมียอดขายดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากที่สัดส่วนการขายไม่มาก แต่ในปีที่ผ่านมาก็เติบโตขึ้นอีก 82%.