ผู้จัดการรายวัน 360 – “ท็อปส์” รุกหนัก ตลาดสินค้าโอนแบรนด์/OB ปูพรมชิงตลาด 3.8 หมื่นล้านบาท วางเป้าเติบโต 20% เพิ่มอีกกว่า 500 รายการ และอีก 10 กลุ่มสินค้า ขยายส่งออกอีก 5 ประเทศ
นายสเตฟาน คูม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มฟู้ด เซ็นทรัล รีเทล กล่าวว่า บริษัทฯ มีการขยายธุรกิจผ่านพอร์ตโฟลิโอที่หลากหลาย โดยหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญในปี 2568 คือการเพิ่มสัดส่วนรายได้จากกลุ่มสินค้า Own Brand ของท็อปส์ (สินค้าหลายแบรนด์ที่ท็อปส์เป็นเจ้าของเอง/OB ) เพื่อรองรับการเติบโตของตลาดสินค้าอุปโภคบริโภค (FMCG) ในประเทศไทย ซึ่งขยายตัวกว่า 5.2% ในปี 2567 (ที่มา: Nielsen Retail Index, FY2024)
ปัจจุบันตลาดสินค้า Own Brand ของประเทศไทยมีมูลค่ากว่า 38,000 ล้านบาท และเติบโตถึง 11.3% ในปี 2567 แต่สัดส่วนของตลาด Own Brand ประเทศไทยมีเพียง 4% ในขณะที่สัดส่วนของตลาด Own Brand ทั่วโลกมีสัดส่วนถึง 22% ซึ่งสะท้อนถึงช่องว่างและโอกาสการเติบโตของธุรกิจอีกมหาศาล
ปีนี้บริษัทฯ จึงตั้งเป้าขยายพอร์ตสินค้า Own Brand ของท็อปส์ ให้เติบโต 20% ในปีนี้ หลังจากที่บริษัททำตลาดOB มาแล้วกว่า 20 ปี ผ่านกลยุทธ์เชิงรุกที่หลากหลาย พร้อมอาศัยประสบการณ์กว่า 29 ปี ในธุรกิจซูเปอร์มาร์เก็ต มาเป็นจุดแข็งในการสร้างสรรค์สินค้าที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่อย่างตรงจุด ตอกย้ำผู้นำธุรกิจฟู้ดรีเทลที่ไม่เคยหยุดพัฒนาโดยยึดถือความต้องการของลูกค้าเป็นหัวใจสำคัญ
นายธนวัตร จิรจริยาเวช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการพาณิชย์ บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จำกัด ในเครือเซ็นทรัล รีเทล กล่าวว่า ตลาดโอนแบรนด์ในไทยยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก เมื่อเทียบกับตลาดรวมทั่วไป เช่น ในยุโรปสินค้าOB มีสัดส่วนมากถึง 39% จากมูลค่าตลาดรวมสินค้าอุปโภคบริโภค เช่น ประเทศสวิสเซอร์แลนด์มีสัดส่วนมากถึง 52% สหราชอาณาจักรมีส่วนแบ่งมากถึง 46% และ สเปนมีสัดส่วนมากถึง 43%
ขณะที่ในเอเชีย สินค้า OB ยังมีสัดส่วนน้อยแค่ 7% จากมูลค่่าตลาดทั้งหมด แต่ประเทศที่มีสัดส่วนมากเช่น ออสเตรเลียประมาณ 24% ฮ่องกง 14% สิงคโปร์ 6% ส่วนไทยเองยังมีแค่ 4% เท่านั้น
อย่างไรก็ตามปีนี้ ท็อปส์จะรุกตลาด OB มากขึ้น โดยวางเป้าหมายการเติบโตที่ 20% จะมีการเพิ่มสินค้าใหม่ประมาณ 500 เอสเคยู จากปัจจุบันมีOB ประมาณ 5,000 รายการ จะเพิ่มกลุ่มสินค้าใหม่อีก 10 กลุ่ม เช่น ผ้าอ้อมเด็ก หรือกาแฟที่ทำมาแล้วแต่ปีนี้จะเต็มที่มากขึ้น จากปัจจุบันมีประมาณ 110 กลุ่มสินค้า จะขยายตลาดต่างประเทศเพิ่มอีก 5 ประเทศ เช่่นโซนเอเชียเป็นหลักก่อน เพราะเป็นตลาดที่ใหญ่ หลายประเทศมีจีดีพีสูงมาก จำนวนประชากรก็มีมาก จากปัจจุบันส่งออกแล้ว 5 ประเทศคือ จีน สิงคโปร์ เวียดนาม กัมพูชา สวิสเซอร์แลนด์ สินค้ามีทั้งที่เป็นOB ของท็อปส์เอง และสินค้าของซัพพลายเออร์
ทั้งนี้ OB ของท็อปส์ที่มีหลายแบรนด์รวมกัน มีสัดส่วนยอดขายประมาณ 16%-20% หรือมากกว่าตลาดรวมที่มีประมาณ 4% และราคาต่ำกว่าแบรนด์ซัพพลายเออร์ทั่วไป 10% - 30% โดยสัดส่วนรายได้OB มาจากในไทยมากกว่า 80% และการส่งออก 20% แต่การสงออกโตมากถึง 70%
แนวโน้มของตลาดOB ที่จะเติบโตได้ดีนั้น เป็นเพราะว่่า 1. สภาพเศรษฐกิจที่ไม่คอยดี คนมีความกังวลเรื่องการจับจ่าย จะทำให้หันมาซื้อOB มากขึ้น ซึ่งOB ปัจจุบันนี้มีการพัฒนาก้าวหน้าไปมาก โดยเฉพาะในเรื่องของคุณภาพ 2.คนรุ่นใหม่โดยเฉพาะGen X กับ Y จะไม่ค่อยยึดติดกับเรื่องแบรนด์มากนัก สินค้าอะไรที่ตอบโจทย์ทั้งการใช้งานและอารมณ์ได้ก็ซื้อ และ 3. นวัตกรรม ซึ่งคุณภาพยอง OB ไม่ได้ด้อยไปกว่าสินค้าแบรนด์หลัก
นายธนวัตร กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปี 2568 เป็นโอกาสสำคัญที่ตลาด FMCG ของประเทศไทยนั้นกลับมาฟื้นตัว จึงเดินหน้าขับเคลื่อนและยกระดับการเติบโตของกลุ่มสินค้า Own Brand ของท็อปส์ ผ่าน 4 กลยุทธ์
“T-O-P-S” เพื่อก้าวสู่ความสำเร็จในธุรกิจฟู้ดรีเทล โดยประกอบด้วย
• T - Trusted Quality: การเป็นแบรนด์สินค้าที่มีคุณภาพน่าเชื่อถือ ด้วยมาตรฐานสินค้าในระดับประเทศและระดับสากล อาทิ มาตรฐานรับรองคุณภาพออร์แกนิก (USDA Organic, EU Organic, CERES), มาตรฐานคุณภาพส่งออก เช่น เครื่องหมายรับรองข้าวหอมมะลิไทย ตราสัญลักษณ์รวงข้าว โดยกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ตลอดจนผลิตภัณฑ์ทั้งหมดได้รับการรับรองมาตรฐานการผลิตและคุณภาพตามเกณฑ์ของหน่วยงานภาครัฐ พร้อมทั้งเตรียมยกระดับคุณภาพของสินค้า Own Brand ของท็อปส์ให้ได้รับการรับรองสัญลักษณ์โภชนาการ “ทางเลือกสุขภาพ (Healthier Choice)” ภายใต้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ให้เพิ่มมากยิ่งขึ้น
• O - Offer Variety: นำเสนอทางเลือกของสินค้าทั้งอุปโภคและบริโภคภายใต้แบรนด์ที่หลากหลาย เพื่อตอบสนองต่อผู้บริโภคในทุกๆ เซกเมนต์ โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่มหลักได้แก่ Specialized brands จำนวน 69 แบรนด์ ครอบคลุมสินค้า 707 รายการ เน้นที่หมวดหมู่ผลิตภัณฑ์เฉพาะที่นำเสนอสินค้าคุณภาพสูงในราคาที่เข้าถึงได้ Core brand จำนวน 13 แบรนด์ ครอบคลุมสินค้า 2,166 รายการ เน้นกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม ภายใต้แบรนด์ TOPS และ Premium brands จำนวน 3 แบรนด์ ครอบคลุมสินค้า 2,130 รายการ เน้นหมวดหมู่ผลิตภัณฑ์ที่มีความพรีเมียม คุณภาพสูง คัดสรรจากแหล่งผลิตต้นกำเนิดทั้งไทยและต่างประเทศ ภายใต้แบรนด์ My Choice พร้อมตั้งเป้าขยายไลน์สินค้าเพิ่มกว่า 500 รายการในปี 2568 นี้
• P - Preferred Choice: ปักหมุดเป็นแบรนด์สินค้าอุปโภคและบริโภคอันดับหนึ่งที่ลูกค้าไว้วางใจ ผ่านการพัฒนาและยกระดับแบรนด์หลักอย่าง My Choice (มาย ช้อยส์) TOPS (ท็อปส์) และ SmarteR (สมาร์ตเตอร์) ให้แข็งแกร่ง เพื่อให้กลายเป็นแบรนด์ที่ลูกค้าให้การยอมรับ บอกต่อ และเชื่อมั่นในคุณภาพ
• S - Sustainability by design: ตอกย้ำ Green & Sustainable Food Retail ที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนตั้งแต่กระบวนการผลิตสินค้า เพื่อสร้างความมั่นใจว่าทั้งผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์สินค้าOwn Brand ของท็อปส์ นั้นมีส่วนช่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม โดยปัจจุบัน
ท็อปส์ได้พัฒนาแบรนด์ SmarteR ให้เป็นสินค้าแบรนด์หลักด้านความยั่งยืน นำเสนอผลิตภัณฑ์ต่างๆ เพื่อความยั่งยืน อาทิ SmarteR ถุงขยะรักษ์โลก และ SmarteR จานกระดาษรักษ์โลก ซึ่งผลิตจากวัตถุดิบธรรมชาติที่สามารถย่อยสลายได้ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ ในปี 2567 ท็อปส์ได้ดำเนินการเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์สินค้า My Choice เชอรี่ ที่สามารถย่อยสลายได้และไม่เคลือบพลาสติก 100% สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากถึง 30 ตัน คาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า
อย่างไรก็ตาม ท็อปส์ ยังได้ยึดมั่นการดำเนินธุรกิจภายใต้ปรัชญา ‘CRC Care’ ในมิติ Care for the Community ที่มุ่งขับเคลื่อนและยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทย เพื่อสร้างเศรษฐกิจฐานรากภายในประเทศให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ด้วยการสนับสนุนกลุ่มวิสาหกิจอย่างหลากหลาย โดยหนึ่งในตัวอย่างชุมชนที่ประสบความสำเร็จคือกลุ่มเมล่อนหมู่ใหญ่ร่วมใจพัฒนา ต.คู้สลอด อ.ลาดบัวหลวง จ.อยุธยา กลุ่มผู้ผลิตเมล่อน แบรนด์ ‘Smile Melon’ นำโดยคุณสวาท สุขนุ่ม โดยท็อปส์เข้าไปมีส่วนร่วมตั้งแต่การพัฒนาโรงบรรจุและโรงเรือน ไปจนถึงการสร้างศูนย์ปลูกเมล่อนที่ได้มาตรฐาน ทั้งด้านคุณภาพผลผลิต ขนาด และรสชาติ จนได้รับการรับรองมาตรฐาน GAP
นอกจากนี้ ยังช่วยเพิ่มช่องทางการจำหน่ายผ่านตลาด 'จริงใจ FARMERS' MARKET' และยกระดับการจำหน่ายภายใต้แบรนด์ ‘My Choice’ ที่ร้านท็อปส์ ทั่วประเทศ ทั้งนี้ ล่าสุด ‘Smile Melon’ ยังได้สร้างความสำเร็จอีกขั้น ด้วยการส่งออกไปยังต่างประเทศเป็นครั้งแรกภายใต้แบรนด์ ‘My Choice Japanese Melon’ วางจำหน่ายผ่านเครือข่ายของแฟร์ไพรซ์ กรุ๊ป (FairPrice Group) ซึ่งเป็นผู้ดำเนินธุรกิจค้าปลีกรายใหญ่ที่สุดของประเทศสิงคโปร์ ความสำเร็จเหล่านี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของท็อปส์ในการสร้างการเติบโตทางธุรกิจร่วมกันแบบ Inclusive Growth อย่างยั่งยืน
“ปัจจุบันมีสินค้า Own Brand ของท็อปส์ กว่า 40 รายการได้วางจำหน่ายในต่างประเทศรวม 5 ประเทศ ได้แก่ สิงคโปร์ (จำหน่ายผ่านเครือข่ายของแฟร์ไพรซ์ กรุ๊ป) จีน เวียดนาม กัมพูชา และสวิตเซอร์แลนด์ ถือเป็นเครื่องพิสูจน์ความสำเร็จว่าสินค้าไทยได้รับการยอมรับว่ามีคุณภาพในระดับสากล และมีมาตรฐานเทียบเท่าสินค้านำเข้าจากประเทศอื่น ๆ นอกจากนี้ ท็อปส์ยังตั้งเป้าขยายตลาดส่งออกสินค้า Own Brand อย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นไปยังตลาดที่มีศักยภาพการเติบโตสูงในภูมิภาคอาเซียน เช่น มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย รวมถึงการขยายตลาดไปยังประเทศอื่นๆ ในเอเชียและยุโรป” นายธนวัตร กล่าวสรุป
ช้อปสินค้า Own Brand คุณภาพพรีเมียม กว่า 5,000 รายการ ได้แล้ววันนี้ที่ท็อปส์ ท็อปส์ ฟู้ด ฮอลล์ และท็อปส์ เดลี่ ทุกสาขา ทั่วประเทศ หรือช้อปง่ายๆ ผ่านช่องทาง ท็อปส์ ออนไลน์ และบริการผู้ช่วยช้อปส่วนตัว (Personal Shopper) ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.tops.co.th, เฟซบุ๊ก TopsThailand, หรือแอปพลิเคชันไลน์ @TopsThailand
ท็อปส์มีเครือข่ายสาขารวม 719 สาขา ( วันที่ 13 มกราคม 2567) แบ่งเป็น ท็อปส์ 145 สาขา, ท็อปส์ฟู้ดฮอลล์ 20 สาขา, ท็อปส์เดลี่ 519 สาขา, ท็อปส์ไวน์เซลล่าร์ 8 สาขา และ รานมัทซึคิโยะ 27 สาขา