ผู้จัดการรายวัน 360 - “ไมเนอร์ โฮเทลส์” รีแบรนด์ครั้งใหญ่ ควบรวม 8 แบรนด์ในเครือสู่ อัตลักษณ์ใหม่ “ไมเนอร์ โฮเทลส์” ลุยตลาด B2C ซุ่มเปิดโรงแรมใหม่อีก 3 แบรนด์ รุกกลุ่มซอฟท์โฮเทล ปูแผนขยายอีก 300 แห่งภายในปี 2570 จากปัจจุบันมีกว่า 560 แห่งทั่วโลก
นายเอียน ดิ ทูลลิโอ (Ian Di Tullio) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพาณิชย์ของ ไมเนอร์ โฮเทลส์ กล่าวว่า ทางไมเนอร์ โฮเทลส์ ได้ทำการรีแบรนด์ครั้งใหญ่ในปีนี้ ซึ่งปัจจัยหลักที่ทางไมเนอร์ต้องปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่ในเวลานี้คือ การที่มีพอร์ทโฟลิโอในเครือมากถึง8 แบรนด์ รวมโรงแรม รีสอร์ท ที่พักต่างๆ มากกว่า 560 แห่งใน 58 ประเทศทั่วโลกแล้ว
การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของกลุ่มธุรกิจโรงแรมระดับโลก ซึ่งเป็นการปูทางการขยายพอร์ตโฟลิโอโรงแรมเพิ่มขึ้นอีกเกือบ 300 แห่ง ภายในปี 2570 อีกทั้งยังเป็นการต่อยอดจากการเข้าซื้อกิจการ เอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ป (NH Hotel Group) ในปี 2561 ซึ่งปัจจุบันดำเนินงานภายใต้ชื่อ Minor Hotels Europe & Americas ที่เป็นส่วนช่วยขยายขอบเขตธุรกิจของกลุ่มให้เติบโตขึ้นถึงสามเท่าบนเวทีโลก
“เรากำลังจะเพิ่มอีก 2-3 แบรนด์โรงแรมใหม่ มีทั้งลักซ์ชัวรี่แบรนด์ กับกลุ่มที่อัพสเกลขึ้นมาอีก คาดว่าจะเห็นได้ในช่วงซัมเมอร์นี้ โดยจะเป็นแบรนด์ที่เพิ่งสร้างขึ้นมาใหม่ของเราเองในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กับมิดเดิ้ลอีสต์คอนเซ็ปท์ที่เราเรียกว่า ซอฟท์ แบรนด์ (Soft Brand) เป็นแบรนด์ที่มีการจัดการในรูปแบบที่มีความยืดหยุ่นและสามารถปรับแต่งให้เหมาะสมกับตลาดและลูกค้าได้ โดยยังคงรักษามาตรฐานและภาพลักษณ์ของแบรนด์ไว้ได้ ซึ่งคาดว่าน่าจะส่งผลดีต่อการเติบโตของรายได้อย่างมีนัยสำคัญจากนี้” นายเอียน กล่าว
ปัจจุบันโรงแรมในเครือทั้ง 8 แบรนด์ของ ไมเนอร์ โฮเทลส์ ประกอบด้วย กลุ่มลักซ์ชัวรี่ คือ อนันตรา (Anantara) , เอเลวาน่า คอลเลคชั่น (Elewana Collection) และ ทิโวลี (Tivoli) ส่วนกลุ่มพรีเมียม ประกอบด้วยอวานี (Avani) เอ็นเอช คอลเลคชั่น (NH Collection) นาว (nhow) และกลุ่ม เซเลกต์ (Select) คือ โอ๊คส์ (Oaks) เอ็นเอช (NH)
“เราไม่ต้องใหญ่ที่สุด แต่เราต้องดีที่สุดในธุรกิจฮอสพิทอลลิตี้ เราเปลี่ยนเพื่อสิ่งที่ดีขึ้นต่อไป” นายเอียน กล่าว
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าสถานการณ์การเมืองและเศรษฐกิจต่างๆอาจจะมีผลต่อการขยายธุรกิจหรือไม่นั้น หากพิจารณาดูจาก โควิดที่ผ่านมา หลังจากโควิดจบลงธุรกิจท่องเที่ยวก็กลับมาเติบโตอย่างมาก จึงค่อนข้างมั่นใจกับการเติบโต พร้อมกับเราเป็นโกลบอลแบรนด์ด้วย จึงสามารถที่จะสร้างความสมดุลย์ของรายได้ และช่วงเวลานี้มีความเหมาะสมที่จะทำการขยายธุรกิจ
ภาพลักษณ์ใหม่ ไมเนอร์ โฮเทลส์ จะสื่อสารผ่านช่องทางต่าง ๆ ทั้ง แพลตฟอร์มดิจิทัล และมือถือ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงด้านการตลาด ช่องทางการขาย และการสื่อสารภายในโรงแรมในเครือ แม้จะมีการปรับโฉมหน้าแบรนด์หลัก แต่โรงแรมในเครือแต่ละแบรนด์จะยังคงรักษาเอกลักษณ์เฉพาะตัวเดิมเอาไว้ ซึ่งรวมถึงเว็บไซต์และกลยุทธ์ทางการตลาดของตนเอง ขณะเดียวกัน แบรนด์เหล่านี้จะได้รับประโยชน์จากการพัฒนาแบรนด์หลัก ไมเนอร์ โฮเทลส์ ควบคู่ไปด้วย พร้อมกับการปรับโครงสร้างแบรนด์ ออกเป็นสามระดับ ได้แก่ ลักชัวรี (Luxury) พรีเมียม (Premium) และ เซเลกต์ (Select) เพื่อช่วยให้แขกสามารถเลือกโรงแรมที่เหมาะกับความต้องการของตนเองได้อย่างตรงจุด
ไมเนอร์ โฮเทลส์ ยังได้ปรับโฉมหน้าเว็บไซต์ minorhotels.com โดยเปลี่ยนจากเดิมที่เน้นข้อมูลองค์กรและการพัฒนา มาเป็นแพลตฟอร์มที่ตอบโจทย์การใช้งานของผู้บริโภคโดยเฉพาะ เป็นครั้งแรกที่แขกสามารถจองที่พักจากโรงแรมในเครือกว่า 560 แห่ง ค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับจุดหมายปลายทางต่าง ๆ ได้ภายในเว็บไซต์เดียว และยังได้เปิดตัวแอปพลิเคชันมือถือใหม่ ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มเดียวที่รวมทุกแบรนด์ในเครือเข้าไว้ด้วยกัน แทนแอปพลิเคชันแยกตามแบรนด์โรงแรม โดยสามารถใช้แอป Minor Hotels เพื่อทำการจอง จัดการการจอง ค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับจุดหมายปลายทางต่าง ๆ รวมถึงติดต่อทีมโรงแรมและขอรับบริการต่าง ๆ ระหว่างการเข้าพักผ่านแอปพลิเคชันเดียวอีกด้วย
ทางกลุ่ม ยังจะพัฒนาฟังก์ชันการใช้งานและเพิ่มความเป็นส่วนตัวบนเว็บไซต์ MinorHotels.com และแอปพลิเคชัน Minor Hotels ที่รวมห้องอาหาร สปา และเวลเนส ไว้ด้วยกันกับห้องพักในที่เดียว โดยนำความชอบและข้อเสนอแนะจากลูกค้ามาใช้ในการพัฒนาเพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีขึ้น
มร. ดิลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ไมเนอร์ โฮเทลส์ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า “ทางไมเนอร์ โฮเทลส์ ได้ทำการรีแบรนด์ใหม่ในปีนี้ ซึ่งถือเป็นอีกก้าวสำคัญของ ไมเนอร์ โฮเทลส์ ซึ่งเป็นการพัฒนาต่อยอดบนเส้นทางแห่งความสำเร็จของเราในช่วงกว่า 50 ปีที่ผ่านมา ไม่เพียงแค่สร้างการเติบโตทางด้านรายได้และผลกำไร แต่ยังเป็นการใช้ประโยชน์จากจุดแข็งของเราในด้านความหลากหลาย ความเชี่ยวชาญ และศักยภาพของทีมงาน เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว การรวมทุกแบรนด์โรงแรมและประสบการณ์การท่องเที่ยวทั้งหมดไว้ภายใต้ชื่อ ไมเนอร์ โฮเทลส์ จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับตำแหน่งของเราในอุตสาหกรรมการบริการ และสนับสนุนเป้าหมายการเติบโตของเราให้สำเร็จลุล่วง”
“การพัฒนาแบรนด์ครั้งนี้นับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของ ไมเนอร์ โฮเทลส์ นับตั้งแต่จุดเริ่มต้นของบริษัทปี 2521 (1978) เมื่อ วิลเลียม อี. ไฮเน็ค ผู้ก่อตั้งบริษํท ได้เข้าซื้อกิจการโรงแรม Royal Garden Resort ในพัทยา จากวันนั้นจนถึงปัจจุบัน ไมเนอร์ โฮเทลส์ ได้เติบโตจนกลายเป็นหนึ่งในผู้นำระดับโลกด้านธุรกิจโรงแรม ด้วยโรงแรมในเครือมากกว่า 560 แห่งใน 58 ประเทศ”