xs
xsm
sm
md
lg

ปตท.กำเงิน 1.6 หมื่นล้านซื้อหุ้นคืน เรียกความเชื่อมั่นดันราคาหุ้นเหนือ 31 บาท ผนึกพันธมิตรญี่ปุ่นพัฒนาไฮโดรเจน-CCS

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

  • • เป็นการซื้อหุ้นคืนครั้งแรกนับตั้งแต่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ปี 2544
  • • มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน


บิ๊กเซอร์ไพรส์! บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT ประกาศซื้อหุ้นคืน 470 ล้านหุ้น วงเงินไม่เกิน 16,000 ล้านบาท เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ ปตท.เข้าระดมทุนและจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2544 หวังเรียกความเชื่อมั่นให้นักลงทุน ส่งผลให้ราคาหุ้น PTT ที่เคยดิ่งต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นปี 2568 จนหลุด 30 บาทและต่ำสุดอยู่ที่ 27 บาทต่อหุ้น กลับขึ้นมายืนเหนือ 31 บาทได้อีกครั้ง

เหตุผลที่ ปตท.ซื้อหุ้นคืนนั้นเพื่อบริหารสภาพคล่องส่วนเกิน ช่วยเพิ่มอัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) และอัตรากำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) และที่สำคัญเป็นการสร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนและผู้ถือหุ้นว่าปตท.มีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งและความสามารถในการทำกำไร หลังจากปล่อยให้ราคาหุ้น PTT ปรับลดลงต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐานที่ควรจะเป็นมาก

เพื่อบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี ค.ศ. 2040 และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี ค.ศ. 2050 ซึ่งเร็วกว่าเป้าหมายประเทศ 15 ปีนั้น ปตท.กำหนดจุดยืนเป็นแกนหลักของประเทศในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีในการลดก๊าซเรือนกระจก อาทิ โครงการการดักจับและการจัดเก็บคาร์บอน (Carbon Capture and Storage : CCS) และการใช้ประโยชน์ไฮโดรเจน หากไม่มีโครงการดังกล่าวเชื่อว่าประเทศไทยจะไม่สามารถบรรลุเป้าหมาย Net Zero ได้


ปตท.ชี้สภาพคล่องกว่าแสนล้าน

ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT กล่าวว่า ปัจจุบันกลุ่ม ปตท.มีกระแสเงินสดในมืออยู่ที่ 4 แสนกว่าล้านบาท แบ่งเป็นของ ปตท. 1.24 แสนล้านบาท ดังนั้นที่ประชุมคณะกรรมการ ปตท. ครั้งที่ 3/2568 เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2568 ได้อนุมัติโครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารทางการเงิน (Treasury Stock) วงเงินสูงสุดไม่เกิน 16,000 ล้านบาท และจำนวนหุ้นที่จะซื้อคืนไม่เกิน 470 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นไม่เกิน 1.65% ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด โดยกำหนดระยะเวลาซื้อหุ้นคืนไม่เกิน 6 เดือน เริ่มตั้งแต่วันที่ 24 มีนาคม 2568 ถึงวันที่ 23 กันยายน 2568

โดยราคาหุ้นที่ซื้อคืนจะไม่เกินกว่าราคาปิดของหุ้นเฉลี่ย 5 วันทำการซื้อขายก่อนหน้าวันที่ทำการซื้อขายแต่ละครั้ง บวกด้วยจำนวนร้อยละ 15 ของราคาปิดเฉลี่ยดังกล่าว ซึ่งการซื้อหุ้นคืนครั้งนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ของปตท.อย่างแน่นอน เพราะปตท.มีกระแสเงินสดในมือมากถึง 124,194 ล้านบาทและมีกำไรสะสม 614,648 ล้านบาท คาดการณ์ว่าจะมีกระแสเงินสดรับในอีก 6เดือนข้างหน้า 63,944 ล้านบาท ขณะที่ ปตท.มีหนี้ที่จะครบกำหนดชำระใน  6 เดือนข้างหน้าราว 84,345 ล้านบาท

ในปี 2567 กลุ่ม ปตท.ได้มีการปรับโครงสร้างองค์กรภายในเยอะ การลงทุนหลายโครงการไม่เป็นไปตามคาดการณ์ ปตท.และบริษัทลูกในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้มีการทบทวน และยุติการลงทุนในโครงการที่ขาดทุนจนต้องบันทึกด้อยค่าเป็นจำนวนมาก เชื่อมั่นว่าในปี 2568 แนวโน้มผลประกอบการของกลุ่ม ปตท.จะปรับตัวดีขึ้นกว่าปีก่อน หลังปลดภาระที่ถ่วงออกไป


สำหรับงบลงทุน 5 ปีข้างหน้าของ ปตท.(ปี 2568-72) วงเงินรวม 54,463 ล้านบาท เป็นงบการลงทุนในปีนี้ 25,627 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจหลักเพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงานและสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยลงทุนโครงการต่อเนื่อง เช่น โครงการท่อส่งก๊าซฯ บางปะกง-โรงไฟฟ้าพระนครใต้ โรงแยกก๊าซธรรมชาติหน่วยที่ 7 รวมถึงการขยายธุรกรรมการค้าระหว่างประเทศอย่างครบวงจร เป็นต้น

ในปี 2568 ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน ปตท.มุ่งสร้างความเข้มแข็งในองค์กร ลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพ ซึ่งใช้เงินลงทุนไม่มากแต่เพิ่มกำไรมากขึ้น เช่น แผน MissionX- Operational Excellence ที่กลุ่ม ปตท.ตั้งเป้าหมายมี EBITDA Uplift ราว 30,000 ล้านบาท และ Digital Transformation ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตเพิ่มขึ้น 2,000 ล้านบาทต่อปีภายในปี 2569

ขณะเดียวกัน เร่งเจรจาหาพันธมิตรต่างชาติมาเสริมแกร่งให้บริษัทในกลุ่มโรงกลั่นและปิโตรเคมี พร้อมยืนยันว่าพันธมิตรที่จะเข้ามาถือหุ้นในบริษัทลูก ไม่ว่าจะเป็น บมจ.ไทยออยล์ (TOP) บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) และ บมจ.ไออาร์พีซี (IRPC) จะต้องทำให้บริษัทลูกแข็งแกร่งขึ้นโดยที่ ปตท.ยังคงถือหุ้นใหญ่อยู่ ไม่เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องมีพันธมิตร พร้อมย้ำว่าต่อให้ไม่มีพันธมิตรบริษัทลูกก็อยู่ได้

แจงเหตุไม่ตั้งงบ Provisional

ดร.คงกระพันกล่าวว่า ในปีนี้ ปตท.ไม่ตั้งงบลงทุนในอนาคต (Provisional Capital Expenditure) เหมือนที่ผ่านมา ถ้ามีโครงการใหม่ที่ดีก็จะบรรจุอยู่ในงบการลงทุน 5 ปีได้ทันที เพราะมีการรีวิวงบลงทุนทุกปีอยู่แล้ว ซึ่งการตั้งงบ Provisional ปตท.จะมีค่าใช้จ่ายในการจัดหาและสำรองเงินฯ ซึ่งปัจจุบันโลกเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว การลงทุนโครงการขนาดใหญ่ แล้วหวังทำกำไรดีในอีก 5 ปีข้างหน้า แต่เสี่ยงสูงไม่เป็นไปตามคาดไว้ เหตุมีปัจจัยภายนอกทั้งความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ สงครามการค้า ฯลฯ ทำให้ตลาดเปลี่ยนไป


ส่วนนโยบายทรัมป์ 2.0 ที่หันมาเน้นการใช้พลังงานฟอสซิลนั้น สำหรับ ปตท.เห็นว่าก๊าซธรรมชาติยังมีการใช้ต่อเนื่องไปอีก 30 ปีข้างหน้าในช่วงเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด ควบคู่กับการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero)ในปี ค.ศ. 2050

ส่ง PTTEP หัวหอกลงทุน "ไฮโดรเจน-CCS"

ดังนั้น ในช่วงแรกประเทศไทยต้องนำเข้าไฮโดรเจนมาใช้ก่อนในภาคอุตสาหกรรมโดยเฉพาะไฟฟ้าตามแผน PDP ที่ระบุให้โรงไฟฟ้าใช้ไฮโดรเจน 5% ในปี ค.ศ. 2030 ยอมรับว่าขณะนี้การผลิตไฮโดรเจนยังมีต้นทุนที่สูงมาก เพราะต้องใช้ไฟฟ้าแยกน้ำเพื่อให้ได้ไฮโดรเจน จึงไม่คุ้มที่จะลงทุนในไทย

เพื่อเตรียมความพร้อมในการลงทุนในไทย ในช่วงแรกจะเป็นการลงทุนในต่างประเทศ เช่น อินเดีย และตะวันออกกลาง ที่มีต้นทุนการผลิตไฮโดรเจนต่ำ ทางปตท.มอบหมายให้ บมจ. ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) เป็นหัวหอกในขยายการลงทุนผลิต Clean Hydrogen รวมทั้งพลังงานหมุนเวียน ซึ่งเป็นการร่วมลงทุนโครงการผลิตไฮโดรเจนในต่างประเทศก่อน จนกว่ามีเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพผลิตไฮโดรเจนได้ราคาต่ำลง แข่งขันกับเชื้อเพลิงชนิดอื่นได้ ทางปตท.ก็จะลงทุนโครงการไฮโดรเจนในไทยเพื่อป้อนให้กับภาคอุตสาหกรรม

เช่นเดียวกับโครงการ CCS ปัจจุบัน PTTEP อยู่ระหว่างการศึกษาและออกแบบทางวิศวกรรมในแซนด์บ็อกซ์แหล่งอาทิตย์ ก่อนตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้าย (FID) ในปีนี้ จากนั้นจะใช้เวลาพัฒนาโครงการ 3 ปี ก่อนดำเนินกระบวนการอัดกลับเก็บคาร์บอนในหลุมก๊าซฯ เปล่าได้รวมประมาณปีละ 1 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ซึ่งต้นทุนที่แท้จริงยังไม่ชัดเจน

นอกจากนี้ ปตท.จะหารือกับภาครัฐออกกฎระเบียบต่างๆ ให้ชัดเจน เพื่อใช้พื้นที่ในทะเลในการกักเก็บคาร์บอน โดย ปตท.จะลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทั้งถังและท่อในการเก็บคาร์บอนส่งไปฝังใกล้ชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก เบื้องต้นปริมาณดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ราว 10 ล้านตันต่อปี โดยกลุ่มปตท.มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ ราว 50 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า

ปัจจุบันโครงการ CCS ในสหรัฐอเมริกาประสบความสำเร็จ เพราะภาครัฐให้เงินอุดหนุน จึงเป็นโอกาสดีที่ PTTEP จะแสวงหาโอกาสการลงทุนในธุรกิจก๊าซฯ และโครงการ CCS ในสหรัฐฯ


Takasago Hydrogen Park ศูนย์พัฒนาไฮโดรเจน

ขณะที่ประเทศญี่ปุ่น ถือเป็นประเทศผู้ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากที่สุดติดอันดับ 5 ของโลก ได้ประกาศเป้าหมาย Net Zero ในปี 2050 ทำให้บริษัทเอกชนญี่ปุ่นเร่งศึกษาวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีในการผลิตไฮโดรเจน เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านไปสู่การใช้พลังงานสะอาด และเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศญี่ปุ่น

Takasago Hydrogen Park เป็นศูนย์วิจัยและพัฒนาที่มุ่งเน้นในการผลิตและพัฒนาการใช้พลังงานไฮโดรเจนที่ยั่งยืน ก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 2022 ดำเนินการโดยบริษัท มิตซูบิชิ เฮฟวีย์ อินดัสทรี จำกัด (Mitsubishi Heavy Industries, Ltd. :MHI) ตั้งอยู่ที่จังหวัด Hyogo ประเทศญี่ปุ่น ถือเป็นศูนย์การทดลองเทคโนโลยีในการผลิตและการใช้งานเกี่ยวกับไฮโดรเจนที่ครบวงจรแห่งแรกของโลก โดยมีโรงงานสาธิตพลังงานไฮโดรเจน

สำหรับกระบวนการผลิตไฮโดรเจนของ Takasago Hydrogen Park มีความหลากหลายและมุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตไฮโดรเจนที่ยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยเทคโนโลยีหลักที่ใช้ในศูนย์นี้ ประกอบไปด้วย 1. กระบวนการ Electrolysis เป็นกระบวนการที่ใช้กระแสไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพื่อแยกน้ำออกเป็นไฮโดรเจน (H2) และออกซิเจน (O2)

2. กระบวนการ Pyrolysis ที่เกิดจากการเผาไหม้มีเทน (CH4) เป็นกระบวนการทางเคมีที่ใช้ในการทำให้วัสดุแตกตัว โดยกระบวนการนี้เกิดขึ้นที่อุณหภูมิสูง (ประมาณ 500 ถึง 1,500 องศาเซลเซียส) ทำให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นไฮโดรเจนและคาร์บอนแข็ง โดยไม่ปล่อยคาร์บอนในชั้นบรรยากาศ และยังนำคาร์บอนที่ได้ไปใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมอื่นๆ ได้


3. กระบวนการ Solid Oxide Electrolysis Cells - SOEC ที่อยู่ระหว่างการพัฒนาของ MHI เป็นเทคโนโลยีในการผลิตไฮโดรเจนโดยการใช้ไฟฟ้าแยกน้ำเป็นไฮโดรเจนและออกซิเจนผ่านทางกระบวนการ Electrolysis และใช้ความร้อน (อุณหภูมิประมาณ 700-1,000 องศาเซลเซียส) โดยจะใช้ไฟฟ้าน้อยกว่ากระบวนการ Electrolysis แบบปกติ

ทั้งนี้ MHI เป็นบริษัทชั้นนำด้านอุตสาหกรรมหนักและวิศวกรรม เชี่ยวชาญการผลิต Gas Turbine โดยมีบริษัทพลังงานทั่วโลกว่าจ้างผลิตรวมทั้งไทยด้วยโดย MHI อยู่ระหว่างวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีไฮโดรเจนมาใช้ใน Gas turbine เพื่อผลิตไฟฟ้า ซึ่งประสบความสำเร็จเบื้องต้นในการใช้ไฮโดรเจน 30%และคาดว่าจะพัฒนาให้สามารถใช้พลังงานไฮโดรเจนได้ถึง 100% ภายในปี ค.ศ. 2030 เพื่อผลิตเชิงพาณิชย์ต่อไป

ส่วนบริษัท Sanyo Chemical Industries (SCI) ซึ่งเป็นบริษัทผลิตเคมีภัณฑ์ในประเทศญี่ปุ่น เน้นการวิจัยและพัฒนาเพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมใหม่ ๆ ให้กับอุตสาหกรรมพลาสติก เคมีภัณฑ์ เครื่องสำอางและเวชภัณฑ์ สารเพิ่มประสิทธิภาพในน้ำมันหล่อลื่น วัสดุพิเศษ ฯลฯ โดยห้องปฏิบัติการที่ทำการวิจัยและพัฒนาที่ Katsura Research Laboratory มีการใช้เทคนิคการผลิตที่ทันสมัยทั้งระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ในการทดลองและการผลิตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดความผิดพลาด


นายรัฐกร กัมปนาทแสนยากร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ความยั่งยืนองค์กร บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปตท.มีความสนใจเรื่องการพัฒนาพลังงานไฮโดรเจน และ CCS ร่วมกับMHI ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีเทคโนโลยีทั้งสองอย่าง เพียงแต่ CCS ยังไม่มีรายละเอียดมากนัก โดยเพิ่มเริ่มต้นเจรจายังไม่ตัดสินใจ

ส่วน SCI มีความร่วมมือกับ PTTGC ตั้งโรงงาน GC Polyols ในไทย ซึ่ง SCI สนใจใช้วัตถุดิบ Bio จากไทยเพื่อต่อยอดผลิตสินค้า Green products ขณะเดียวกัน SCI เสนอ 4-5 ผลิตภัณฑ์ที่ ปตท.สนใจ

ทั้งนี้ กลุ่ม ปตท.อยู่ระหว่างการทบทวนเป้าหมาย Net Zero ใหม่ เพื่อให้กลุ่มปตท.บรรลุ Net Zero ไปพร้อมกัน คาดว่าจะมีความชัดเจนในเดือนมีนาคมนี้ ก่อนเสนอบอร์ดเพื่ออนุมัติต่อไป


กำลังโหลดความคิดเห็น