xs
xsm
sm
md
lg

ปตท.ส่ง PTTEP นำร่องรุกธุรกิจไฮโดรเจน-CCS

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

  • • ปตท.สผ. นำร่องลงทุนโครงการไฮโดรเจนในต่างประเทศ
  • • ปตท. กำลังทบทวนเป้าหมาย Net Zero ใหม่ คาดสรุปได้ในเดือนมีนาคม


ปตท.เดินหน้าธุรกิจไฮโดรเจน-โครงการ CCS รองรับการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดในภาคอุตสาหกรรม ส่ง ปตท.สผ.นำร่องลงทุนโครงการไฮโดรเจนในต่างประเทศ และทบทวนเป้า Net Zero กลุ่ม ปตท.ใหม่ คาดสรุปชัดเจนเดือนมีนาคมนี้

นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปัจจุบันโลกมีความท้าทายมากทั้งความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด ส่งผลให้ภาวะเศรษฐกิจโลกมีความผันผวน ดังนั้นปตท.จึงปรับตัวกลับมาทำในธุรกิจ Hydrocarbon ที่เชี่ยวชาญและถนัดเพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้กับประเทศ รวมทั้งหาแหล่งพลังงานในราคาที่เหมาะสม และทบทวนธุรกิจ Non-Hydrocarbon โดยในปี 2568 ปตท.เน้นสร้างความมั่นคงและการเติบโตที่ดี ด้วยการลงทุนที่สร้างผลกำไรควบคู่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านพลังงานสู่พลังงานสะอาดในอนาคต ปตท.มีแผนลงทุนในธุรกิจไฮโดรเจนและโครงการกักเก็บคาร์บอน (CCS) โดย ปตท.ศึกษาความเป็นไปได้การลงทุนธุรกิจไฮโดรเจนในต่างประเทศ โดยมอบหมาย บริษัท ปตท.สํารวจและผลิตปิโตรเลียม จํากัด (มหาชน) (PTTEP) หรือ ปตท.สผ.เป็นแกนนำในการลงทุน ซึ่งปัจจุบันประเทศที่มีต้นทุนการผลิตไฮโดรเจนต่ำมีทั้งตะวันออกกลาง อินเดีย เป็นต้น


อย่างไรก็ดี ปตท.ไม่สนใจทำธุรกิจไฮโดรเจนที่ใช้กับรถยนต์ แต่มุ่งเน้นไฮโดรเจนที่ใช้ในภาคอุตสาหกรรมที่ต้องการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ขณะเดียวกันภาครัฐมีนโยบายนำไฮโดรเจรมาผสมในโรงไฟฟ้าก๊าซฯ ราว 5% ในอนาคตตามแผน PDP เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ

แม้ว่าราคาไฮโดรเจนในปัจจุบันมีราคาสูงกว่าเชื้อเพลิงชนิดอื่น แต่เชื่อว่าภายใน 5 ปีข้างหน้าราคาไฮโดรเจนจะปรับตัวลดลง เมื่อผนวกกับนโยบายภาครัฐเตรียมออกกฎหมายจัดเก็บภาษีคาร์บอน กระตุ้นความต้องการใช้ไฮโดรเจนในประเทศเพิ่มมากขึ้นด้วย
ทำให้ราคาแข่งขันกับเชื้อเพลิงอื่นๆ ได้

"ไฮโดรเจนจะเป็นพลังงานแห่งอนาคตที่มีบทบาทสำคัญต่อการลดการปล่อยคาร์บอน ช่วยขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทยไปสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในระยะแรกจะเริ่มจากการนำเข้าไฮโดรเจนมาทำตลาดก่อน”

ส่วนโครงการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture and Storage :CCS) เป็นโครงการที่มีส่วนสำคัญในการผลักดันให้กลุ่ม ปตท.และประเทศไทยสู่เป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net Zero) ได้ โดยมี ปตท.สผ.เป็นหลักในการทำโครงการนำร่องในแหล่งอาทิตย์ ขณะเดียวกัน ปตท.จะลงทุนโครงสร้างพื้นฐานโครงการดังกล่าวในอนาคต


นอกจากนี้ กลุ่ม ปตท.อยู่ระหว่างการทบทวนเป้าหมาย Net Zero เพื่อให้กลุ่ม ปตท.บรรลุ Net Zero ไปพร้อมกัน คาดว่าจะมีความชัดเจนในเดือนมีนาคมนี้ ซึ่งเดิมแต่ละบริษัทในกลุ่ม ปตท.จะกำหนดเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net Zero) ที่แตกต่างกันไปตามความสามารถของแต่ละบริษัท เช่น ปตท.กำหนดลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงร้อยละ 15 ภายในปี 2030 ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2040 และ Net Zero ในปี ค.ศ. 2050 แต่ไออาร์พีซี (IRPC) กำหนดลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลง 20% ภายในปี ค.ศ. 2030 Carbon Neutrality ในปี ค.ศ. 2050 และ Net Zero ในปี 2060

ทั้งนี้ ปตท.ตั้งงบลงทุน 5 ปี (ปี 2568-2572) ประมาณ 55,000 ล้านบาท ซึ่งปี 2568 กำหนดงบลงทุนอยู่ที่ 25,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนขยายธุรกิจก๊าซฯ เป็นหลัก เน้นการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งโรงแยกก๊าซฯ ท่อส่งก๊าซฯ และคลังรับ-จ่ายก๊าซฯ เป็นต้น และอีกส่วนจะเป็นการลงทุนในธุรกิจค้าขายระหว่างประเทศ (เทรดดิ้ง) ซึ่งจะมุ่งเน้นการลงทุนในธุรกิจที่ ปตท.มีความเชี่ยวชาญควบคู่ไปกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

กำหนดแผนดำเนินธุรกิจแบ่งเป็น 3 ระยะ ประกอบด้วย ระยะสั้น มีโครงการ D1 (Domestic Products Mgmt) ที่ตั้งเป้าหมายจะเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ประมาณ 3,300 ล้านบาทต่อปี ภายใน 3 ปี จากการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานร่วมกันในกลุ่มธุรกิจ (Synergy) ระหว่าง (TOP,GC,IRPC) ภายใต้โครงการ P1 รวมถึงกำหนดแผน MissionX- Operational Excellence ตั้งเป้าหมายมีกำไรก่อนค่าใช้จ่ายทางการเงิน ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) เพิ่มขึ้น 30,000 ล้านบาท ภายใน 3 ปี ภายในปี 2570 การเปลี่ยนผ่านสู่ธุรกิจดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพผลิตภัณฑ์ โดยจะเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ประมาณ 2,000 ล้านบาทต่อปีภายใน 2 ปี

ระยะกลาง เน้นการปรับโครงสร้างธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น (P&R) ซึ่งจะหาพันธมิตรที่มีความเข้มแข็งด้านวัตถุดิบและตลาดเข้ามาร่วมธุรกิจ เพื่อสร้างการเติบโตที่แข็งแกร่งขึ้น โดยที่ ปตท.จะยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในธุรกิจนี้ ล่าสุดมีพันธมิตรในต่างประเทศที่สนใจร่วมลงทุนหลายราย คาดว่าจะมีความชัดเจนในปีนี้

นอกจากนี้ ปตท.ยังตั้งเป้าหมายเป็นศูนย์กลางก๊าซธรรมชาติของภูมิภาค (LNG Hub) เนื่องจากมีความพร้อมและความแข็งแกร่งด้านโครงสร้างพื้นฐานในธุรกิจนี้ ที่จะขยายตลาดออกสู่ประเทศเพื่อนบ้าน ขณะที่ความต้องการใช้ก๊าซฯ ในประเทศยังเติบโตต่อเนื่อง ซึ่งในปีนี้คาดว่าจะนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ประมาณ 10-11 ล้านตัน จากปี 2567 ที่นำเข้า 9.6 ล้านตัน

ส่วนระยะยาว เน้นลงทุนระบบการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCS) และไฮโดรเจน เพื่อใช้ในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

นายคงกระพันกล่าวว่า ราคาหุ้น PTT ที่ปรับตัวลดลงนั้นเกิดจากปัจจัยกดดันโดยเฉพาะราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับตัวลดลงต่ำกว่าระดับ 70 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ขณะที่ภาพรวมตลาดหุ้นไทยลดลงมาก แต่ปตท.มีฐานะการเงินแข็งแกร่ง และมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลอยู่ในเกณฑ์ที่ดี


กำลังโหลดความคิดเห็น