xs
xsm
sm
md
lg

PTTGC-SCGC ปรับแผนรับมือปิโตรเคมีดิ่งยาว ชูทางรอดนำเข้าอีเทนจากสหรัฐฯ ป้อนโรงโอเลฟินส์

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

  • • กำลังการผลิตใหม่จากจีนเข้าสู่ตลาด
  • • ผู้ผลิตในเอเชีย (เกาหลีใต้, ญี่ปุ่น, ไต้หวัน) ต้นทุนสูง
  • • ผู้ผลิตเอเชียต้องลดกำลังการผลิตหรือปิดตัวลง


การฟื้นตัวอุตสาหกรรมปิโตรเคมียังคงต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง เนื่องจากมีกำลังการผลิตใหม่จากจีนเข้าสู่ตลาดอยู่ ทำให้ผู้ผลิตปิโตรเคมีทั้งในเอเชียไม่ว่าจะเป็นเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น หรือไต้หวันที่มีต้นทุนการผลิตสูงต้องลดกำลังการผลิตลง หรือบางโรงต้องหยุดผลิตไปเลย เพราะยิ่งผลิตก็ยิ่งขาดทุน เรียกว่าได้ไม่คุ้มเสีย

เช่นเดียวกับบริษัทผลิตปิโตรเคมีรายใหญ่ของไทยในเครือ ปตท. และเครือปูนซิเมนต์ไทย มีการปรับกลยุทธ์ใหม่ในการดำเนินธุรกิจเพื่อลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตเพื่อให้ธุรกิจยืนระยะได้นานกว่าคู่แข่ง ขณะเดียวกันก็ประเมินทางรอดในระยะยาวว่าต้องใช้วัตถุดิบที่ราคาถูกอย่างอีเทน แม้ว่าจะต้องขนส่งมาไกลจากสหรัฐอเมริกาก็ตาม

ล่าสุดคณะกรรมการบริษัทปิโตรเคมีรายใหญ่ของไทยอย่างบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC อนุมัติแผนการนำเข้าอีเทนจากสหรัฐอเมริกา เพื่อเป็นวัตถุดิบโรงโอเลฟินส์ในประเทศไทย ขณะที่บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ หรือ SCGC เตรียมนำเข้าวัตถุดิบก๊าซอีเทนจากสหรัฐอเมริกามาป้อนให้โรงงานลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์ (LSP) ที่ประเทศเวียดนาม เนื่องจากราคาอีเทนมีราคาถูกกว่าแนฟทาค่อนข้างมาก และต่อยอดผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย

แต่การนำเข้าอีเทนไม่สามารถทำได้ทันที จำเป็นต้องมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานรองรับทั้งถังเก็บ ท่อขนส่ง รวมถึงการขนส่งต้องใช้เรือขนาดใหญ่ขนส่งเฉพาะอีเทนเท่านั้น จึงต้องทำสัญญาเช่าเรือขนส่งอีเทนระยะยาว เพื่อให้บริษัทเดินเรือดำเนินการว่าจ้างต่อเรือใหม่เพื่อขนส่งอีเทนให้ ทำให้มูลค่าการลงทุนค่อนข้างสูง

ในอดีต PTTGC จึงไม่มีความคิดที่จะนำเข้าอีเทน ส่วนหนึ่งเพราะไม่มีความจำเป็น เหตุโรงโอเลฟินส์ของ PTTGC มีความยืดหยุ่นในการใช้วัตถุดิบทั้งอีเทน โพรเพน คอนเดนเสท และแนฟทา ซึ่ง PTTGC ได้รับวัตถุดิบที่หลากหลายจากโรงแยกก๊าซฯ และโรงกลั่นน้ำมันในกลุ่ม ปตท.อยู่แล้ว ส่วนโรงโอเลฟินส์ในเครือ SCC ใช้วัตถุดิบแนฟทาเป็นหลัก ขณะที่วัฏจักรราคาปิโตรเคมีก็ไม่ได้ผันผวนรุนแรงเหมือนในปัจจุบัน ทำให้แต่ละบริษัทต้องหันมาทบทวนตัวเองเพื่อหาข้อเด่นแล้วเสริมให้แข็งแกร่งขึ้น ส่วนข้อด้อยก็ต้องเร่งแก้ไข


นำเข้าอีเทนสหรัฐฯ ลดเสี่ยงก๊าซฯ ในอ่าว

นายณะรงค์ศักดิ์ จิวากานันต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC กล่าวว่า โครงการนำเข้าวัตถุดิบอีเทนปีละจำนวน 400,000 ตันจากสหรัฐอเมริกา ช่วยเสริมความมั่นคงวัตถุดิบปิโตรเคมีในระยะยาวแล้ว ยังช่วยลดต้นทุนการผลิต เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งโครงการนี้บริษัทจะใช้เงินลงทุนของตนเองแค่ 133 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อลงทุนก่อสร้างท่อขนส่งอีเทนจากท่าเรือมายังโรงงานโอเลฟินส์ โดยบริษัทไม่ต้องลงทุนปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานของโรงงานเลย เนื่องจากโรงงานโอเลฟินส์ทั้ง 5 โรงของบริษัทได้ออกแบบให้รองรับการใช้อีเทนได้ตั้งแต่ต้น ลดความจำเป็นในการลงทุนเพิ่มเติม คาดว่าโครงการจะเริ่มนำเข้าอีเทนและดำเนินการการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในอีก 5 ปีข้างหน้า หรือในปี 2572

ทั้งนี้ โครงการนำเข้าวัตถุดิบอีเทน PTTGC บริษัทได้ร่วมมือกับ ปตท.และพันธมิตรชั้นนำ ช่วยลดการใช้เงินลงทุนจำนวนมาก โดยบริษัทได้ลงนามข้อตกลงซื้อขายอีเทนจำนวน 400,000 ตัน ระยะยาว 15 ปี กับบริษัทในเครือของ Enterprise Products Partners L.P. ซึ่งเป็นผู้จำหน่ายผลิตภัณฑ์ก๊าซธรรมชาติ NGLs น้ำมันดิบ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและปิโตรเคมีในสหรัฐอเมริกา รวมทั้งเป็นผู้ส่งออกอีเทนจากสหรัฐฯ ด้วย ทำให้ PTTGC เป็นบริษัทรายแรกจะที่นำเข้าอีเทนจากสหรัฐฯมาใช้ในประเทศไทย เพื่อทดแทนวัตถุดิบอื่นๆ

โดย ปตท.ได้ลงนามข้อตกลงเช่าเหมาเรือขนส่งอีเทนขนาดใหญ่ (Very Large Ethane Carriers : VLECs) ระยะยาวแบบมีกำหนดเวลากับ MISC Berhad ผู้นำด้านการขนส่งก๊าซเหลวระดับโลกสัญชาติมาเลเซียมีปิโตรนาสเป็นผู้ถือหุ้นหลัก และลงนามข้อตกลงใช้บริการเรือ VLECs จำนวน 2 ลำในการขนส่งอีเทนกับ PTTGC เป็นระยะเวลา 15 ปี ช่วยสร้างความมั่นคงและเสถียรภาพห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมปิโตรเคมี


รวมทั้ง PTTGC ได้ทำสัญญาบริหารการใช้ท่าเรือและถังเก็บอีเทนกับบริษัท ไทยแท้งค์เทอร์มินัล จำกัด (TTT) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนของบริษัทกับพันธมิตร ดำเนินธุรกิจการให้บริการท่าเทียบเรือและคลังสินค้าเหลว

โครงการนำเข้าวัตถุดิบอีเทนเป็นส่วนหนึ่งของแผน Holistic Optimization โดยบริษัทเห็นโอกาสในการใช้อีเทนได้อีกมาก เพราะเรามีโรงโอเลฟินส์ 5 โรงในนิคมฯ มาบตาพุด จังหวัดระยอง มีกำลังการผลิตรวม 2 -3 ล้านตัน/ปี มีความยืดหยุ่นการวัตถุดิบที่หลากหลายเช่นโพรเพน แอลพีจี แนฟทา ซึ่งไม่ใช่อีเทนรวมแล้ว 60% ของการใช้วัตถุดิบทั้งหมด การนำเข้าอีเทนเพื่อนำมาแทนวัตถุดิบเหล่านี้ และที่สำคัญโครงการนำเข้าอีเทนบริษัทใช้เงินลงทุนไม่มากทำให้คืนทุนได้เร็ว

การนำเข้าอีเทนในครั้งนี้ มาจากอนาคตปริมาณก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยจะลดน้อยลง เพื่อลดความเสี่ยงด้านวัตถุดิบ การนำเข้าอีเทนจากสหรัฐฯ จึงเป็นทางออกที่ดี เพราะสหรัฐฯ มีการส่งออกอีเทนเพิ่มมากขึ้น


ตั้งเป้าปี 68 ลดต้นทุน-เพิ่มรายได้ 4.5 พันล้าน

นายณะรงค์ศักดิ์กล่าวว่า ส่วนแผนระยะสั้นในปีนี้บริษัทมุ่งเน้นการลดค่าใช้ และจัดลำดับความสำคัญในการดำเนินธุรกิจ โดยวางเป้าลดต้นทุนและเพิ่มรายได้ในปีนี้ราว 4,500 ล้านบาท มาจากการปรับลดค่าใช้จ่าย การเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขัน จากการเสริมสร้างประสิทธิภาพด้านการสร้างรายได้ เสริมสภาพคล่องจากสินทรัพย์ที่มี

รวมทั้งการบริหารสินทรัพย์ให้เกิดประโยชน์สูงสุดตามแนวทาง Asset Light และลดค่าใช้จ่ายด้านการลงทุน (Capex) รวมถึงดำเนินมาตรการเสริมสภาพคล่องผ่านวงเงินสินเชื่อหมุนเวียน เพื่อรักษาสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งและรองรับการเติบโตในอนาคต

บริษัทมั่นใจว่าในปีนี้มีผลประกอบการดีขึ้นและพลิกกลับมามีกำไรสุทธิอีกครั้งจากปี2567บริษัทขาดทุนสุทธิสูงถึง 29,800 ล้านบาท แม้ว่าอุตสาหกรรมปิโตรเคมียังคงเผชิญภาวะเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน นโยบายสหรัฐอเมริกาที่เปลี่ยนแปลง และภาวะอุปทานส่วนเกินจากกำลังการผลิตใหม่ที่เพิ่มขึ้น ทำให้คาดการณ์ได้ยากว่าอุตสาหกรรมกลับมาฟื้นตัวดีขึ้นได้เมื่อใด

ปัจจุบัน PTTGC มี 50 โรงงานในไทย และต่างประเทศอีก 30 โรงงาน บริษัทจะนำความเชี่ยวชาญในการบริหารจัดการ และเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อลดต้นทุน มาใช้กับโรงงานต่างๆ ในเครือ เพื่อลดต้นทุนและสร้างรายได้

ขณะเดียวกันก็เร่งระหว่างพิจารณาการขายสินทรัพย์ที่ไม่ใช่ธุรกิจหลัก (Core Business) แต่ต้องไม่ส่งกระทบการดำเนินงานของธุรกิจของบริษัทแต่อย่างใด


ผลักดัน allnex SEA Hub ในระยอง

การตั้งเป้าหมายพลิกผลประกอบการด้วย Holistic Optimization เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ ทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพวัตถุดิบ เพื่อสร้างความมั่นคงด้านวัตถุดิบโอเลฟินส์โดยนำเข้าอีเทนจากสหรัฐฯ, การเพิ่มประสิทธิภาพห่วงโซ่อุปทานและการดำเนินงานโดยนำเทคโนโลยีมาใช้และลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์, การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่และนำองค์ความรู้ความเชี่ยวชาญไปปรับใช้ใน allnex และบริษัทอื่นๆในเครือ เพื่อสร้างรายได้เพิ่มขึ้น ช่วยผลักดันกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา (EBITDA) เพิ่มขึ้นอีก 300 ล้านเหรียญสหรัฐหรือกว่า 1 หมื่นล้านบาท ภายในปี 2573 ขณะเดียวกันก็เตรียมตัวให้พร้อม หากสถานการณ์ปิโตรเคมีคลี่คลายจะกลับมาเติบโตอย่างแข็งแกร่ง

นายณะรงค์ศักดิ์เผยบริษัทฯ เดินหน้า allnex SEA Hub ในระยองซึ่งนำเทคโนโลยีมาพัฒนาเพื่อผลิต Coating ชนิดพิเศษที่มีต้นทุนต่ำ ในขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในเฟสแรก คาดว่าจะตัดสินใจลงทุนภายในปี 2568 โดยมุ่งเน้น Waterborne Coatings และ Coating Resins ชนิดพิเศษ เพื่อขยายตลาดในอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ ในขณะเดียวกัน บริษัทฯ ผลักดัน allnex ให้เติบโตอย่างต่อเนื่องผ่านกลยุทธ์ขยายตลาดและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งในปี 2567 allnex ได้เพิ่มกำลังการผลิตในโรงงานที่ใหญ่ที่สุดที่ มณฑลเจ้อเจียง ประเทศจีน และลงทุนในโรงงานแห่งใหม่ที่ เมืองมะหาด ประเทศอินเดีย คาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาสที่ 3 ปี 2568

ส่วนการพัฒนามาบตาพุดเป็น Specialty Hub ยังถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญของ PTTGC เพื่อรองรับธุรกิจที่มีมูลค่าสูงและคาร์บอนต่ำ โดยอยู่ระหว่างการทำงานร่วมกับภาครัฐเพื่อดึงดูดพันธมิตรระดับโลกที่จะส่งเสริมธุรกิจทั้งห่วงโซ่อุปทาน (supply chain) เสริมศักยภาพการแข่งขันของประเทศไทย ควบคู่ไปกับการศึกษาความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจรายอื่นๆ เพื่อนำโครงการใหม่ ๆ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของ Specialty Hub โดยมุ่งเน้นอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สร้างศูนย์กลางอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์เฉพาะทางที่ครบวงจร เช่น การร่วมมือกับ Toray เพื่อศึกษาพัฒนาเทคโนโลยีในการผลิตเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษจากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร ที่เหมาะสำหรับอุตสาหกรรมชิ้นส่วนรถยนต์ สิ่งทอ และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ โดยได้รับทุนสนับสนุนจากญี่ปุ่น คาดว่าจะศึกษาแล้วเสร็จในปี 2570

PTTGC แจงปี 67 ขาดทุนเฉียด 3 หมื่นล้านบาท

PTTGC แจงขาดทุนสุทธิเฉียด 3 หมื่นล้านบาทในปี 2567 ส่วนใหญ่มาจากการปรับโครงสร้าง (ด้อยค่าสินทรัพย์) ของ Vencorex และ PTTAC รวม 21,800 ล้านบาท และการขาดทุนจากการดำเนินงานของ Vencorex และ PTTAC 4,600 ล้านบาท ซึ่งเป็นการบันทึกที่เกิดขึ้นครั้งเดียว ที่เหลือเป็นการขาดทุนจากการดำเนินงานของ PTTGC ราว 3,400 ล้านบาท

ทั้งนี้ Vencorex France และ Vencorex TDI ได้ยื่นคำร้องต่อศาลแพ่งเมืองลียง ประเทศฝรั่งเศสเมื่อเดือนกันยายน ปี2567 เพื่อเข้าสู่กระบวนการปรับปรุงโครงสร้างทางธุรกิจในชั้นศาล โดย PTTGC ได้บันทึกด้อยค่าไปหมดแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการประมูลขายทรัพย์สินของVencorexที่สหรัฐอเมริกาและไทยที่มีมูลค่าอยู่ ซึ่งมีนักลงทุนสนใจคาดว่าจะปิดได้ในไตรมาส 1/2568 และจะบันทึกเป็นกำไรในครึ่งแรกปีนี้


SCC ทุ่ม 500 ล้านดอลล์ นำเข้าอีเทนป้อน LSP ที่เวียดนาม

ส่วนบริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ หรือ SCGC ในเครือ SCC เร่งเดินโครงการเพิ่มวัตถุดิบก๊าซอีเทนที่โรงงาน LSP หรือ ลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์ ในประเทศเวียดนาม โดยล่าสุด ได้ลงนามสัญญาก่อสร้างถังเก็บอีเทนกับกลุ่มกิจการค้าร่วมระหว่างบริษัท China Tianchen Engineering Corporation และบริษัท PetroVietnam Technical Service Corporation ในเครือ Vietnam Oil & Gas Group (PetroVietnam หรือ PVN) จำนวน 2ถัง ความจุประมาณ 55,000 ตันต่อถัง ซึ่งถังเก็บอีเทนมีคุณสมบัติแตกต่างจากถังเก็บก๊าซ LNG และโพรเพน เพื่อรองรับปริมาณก๊าซอีเทนจำนวน 1 ล้านตันต่อปี คาดว่าโครงการ LSP จะแล้วเสร็จตามแผนประมาณปลายปี 2570 รองรับตลาดปิโตรเคมีในภูมิภาคช่วงฟื้นตัว

นายศักดิ์ชัย ปฏิภาณปรีชาวุฒิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ SCGC กล่าวว่าโรงงาน LSP ถือเป็นแห่งแรกในอาเซียนที่นำก๊าซอีเทนจากสหรัฐอเมริกามาใช้เป็นวัตถุดิบ ช่วยลดต้นทุนอย่างมีนัยสำคัญกว่า 30% เมื่อเทียบกับราคาแนฟทาในปัจจุบัน เพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้วัตถุดิบ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น

เมื่อต้นปี 2568 SCGC ลงนามสัญญาจัดหาอีเทน ประมาณ 1 ล้านตันต่อปี เป็นระยะเวลา 15 ปี กับ Enterprise Products Partners ผู้จัดหาก๊าซอีเทนชั้นนำจากสหรัฐอเมริกา และลงนามในสัญญาระยะยาวสำหรับเช่าเหมาเรือขนส่งก๊าซอีเทน (Very Large Ethane Carriers: VLECs) กับบริษัท Mitsui O.S.K. Lines (MOL) ผู้ให้บริการเรือขนส่งวัตถุดิบชั้นนำของโลก รอบแรกจำนวน 3 ลำ ซึ่ง MOL จะให้บริการขนส่งก๊าซอีเทนจากสหรัฐอเมริกาไปยังประเทศเวียดนามเป็นเวลา 15 ปี ทั้งนี้สัญญาเช่าเหมาเรืออีก 2 ลำที่เหลืออยู่ระหว่างดำเนินการ

โครงการนำเข้าอีเทนเพื่อใช้ในโรงงาน LSPE ต้องลงทุนประมาณ 500 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 18,000 ล้านบาท เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และลดต้นทุนอย่างมีนัยสำคัญ พร้อมเดินหน้ารับตลาดปิโตรเคมีช่วงฟื้นตัวในอนาคต

อย่างไรก็ดี SCC ตัดสินใจหยุดการผลิตโรงงาน LSP ที่เวียดนามชั่วคราวตั้งแต่กลางเดือนตุลาคม 2567 หลังเปิดเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ได้เพียง1เดือน เนื่องจากได้รับผลกระทบจากกำลังการผลิตใหม่ของจีนขึ้นมา ฉุดราคาปิโตรเคมีตกต่ำมาก และความต้องการเคมีภัณฑ์โลกชะลอตัว ส่งผลให้ส่วนต่างราคาHDPEกับแนฟทา (สเปรด) อยู่ที่ 300 เหรียญสหรัฐต่อตัน ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำมากผลิตแล้วขาดทุน โดย SCGC ลุ้นว่าครึ่งหลังปีนี้โรงงาน LSP จะกลับมาผลิตต่อได้หรือไม่ หากสเปรด HDPE ยืนเหนือ 400 เหรียญสหรัฐต่อตัน บริษัทจะหันกลับมาผลิตอีกครั้ง

เนื่องจากโรงงาน LSP ยังไม่มีการต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่ม (HVA) เหมือนโรงงานปิโตรเคมีในไทย เมื่อราคาเม็ดพลาสติกตกต่ำจึงไม่สามารถฝืนผลิตต่อไปได้


กำลังโหลดความคิดเห็น