xs
xsm
sm
md
lg

Executive Talk by ShareInvestor 35 ปี แห่งความเชี่ยวชาญ สู่การเป็นกลุ่มโรงพยาบาลที่พร้อมห่วงใยคนไทยทุกคน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



• หลังวิกฤติ Covid-19 กลุ่มโรงพยาบาลรามฯ ยังเติบโตต่อเนื่อง โดยมีการขยายสาขาเพิ่มในแหล่งที่อยู่อาศัยชานเมืองซึ่งกำลังมีความต้องการทางการแพทย์สูง ทั้งยังมีการเพิ่มรายได้จากผู้ป่วยชำจะเองในโรงพยาบาลประกันสังคม
• โรงพยาบาลรามคำแหงมีความเชี่ยวชาญด้านโรคยาก มีบุคลากร และระบบเครื่องมือเเพทย์ที่ทันสมัย ซึ่งเป็นจุดแข็งของโรงพยาบาล ทั้งยังมีฐานผู้ป่วยเเข็งแรง
• กลุ่มโรงพยาบาลรามฯ ปรับตัวเข้าสู่ยุค Preventive Healthcare ที่นอกจากการรักษาโรคแล้ว ยังเน้นส่งเสริมให้ทุกคนสร้างสุขภาพที่แข็งแรง
• นายแพทย์พิชญ สมบูรณสิน ประธานกรรมการบริษัท กลุ่มบริษัทโรงพยาบาลรามคำแหง จำกัด (มหาชน) ได้ยืนยันถึงวิสัยทัศน์ขององค์กร ที่จะสร้างการเติบโตไปพร้อมๆกับพัฒนาสุขภาพของคนไทย เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนของอุตสาหกรรมเฮลแคร์


1. ความเปลี่ยนแปลงและการเติบโตตลอด 2 ปีที่ผ่านมา (2023-2025)

ถือว่าเป็นยุคที่เรียกว่าเข้าสู่สภาวะปกติแล้วนะครับ สมัยยุค Covid-19 โรงพยาบาลหลายๆ แห่งก็จะมีรายได้พิเศษจากผู้ป่วย Covid-19 ที่เพิ่มเข้ามา แต่เมื่อเข้าสู่ปี 2023 และ 2024 ที่นับว่าเป็นปีปกติ ซึ่งคนไข้โรคทั่วไปก็กลับมา รวมถึงคนไข้โรคยาก และโรคซับซ้อน ที่เรามีความเชี่ยวชาญ ทั้งสองกลุ่มนี้ยังคงให้ความไว้วางใจเรา ดังนั้น หากจะเทียบผลประกอบการ ก็ควรเทียบระหว่างปีปกติด้วยกัน ซึ่งช่วงปี 2018 กับปี 2024 ถือว่ามีการเติบโตของรายได้ประมาณ 4 เปอร์เซ็นต์ครับ

นอกจากนี้ ในช่วงที่ผ่านมาเราก็ยังได้เปิดดำเนินการโรงพยาบาลแห่งใหม่ คือ โรงพยาบาลรามคำแหง 2 ซึ่งถือเป็นโรงพยาบาลขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ห่างจากโรงพยาบาลรามคำแหงไปทางชานเมืองประมาณ 10 กิโลเมตร ซึ่งเป็นพื้นที่อยู่อาศัย และมีการเติบโตของประชากรอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสำหรับโรงพยาบาลใหม่แห่งนี้ นับว่าเติบโตอย่างดีเลยครับ รวมถึงยังมีศูนย์รังสีรักษาของเครือรามคำแหงอยู่ที่นั่นด้วย เพื่อพร้อมให้บริการผู้ป่วยของโรงพยาบาลรามคำแหงและโรงพยาบาลในเครือครับ

สำหรับโรงพยาบาลอื่นๆ ในเครือ เช่น โรงพยาบาลวิภาราม ซึ่งอาจจะได้ยินชื่อว่าเป็น “โรงพยาบาลประกันสังคม” หากมองในแง่ความมั่นคงด้านรายได้ของโรงพยาบาลประกันสังคม ย่อมมีผลกระทบจากเรื่องของนโยบายรัฐไม่มากก็น้อย แต่หากพิจารณาจากตัวเลขการเติบโตในช่วงที่ผ่านมา จะเห็นได้ชัดเจนว่าสัดส่วนรายได้ที่มาจาก “ผู้ป่วยชำระเงินเอง” มีการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการปรับสัดส่วนให้มีรายได้จากผู้ป่วยที่ชำระเงินเองหรือใช้ประกันสุขภาพส่วนบุคคลนี้ ช่วยผลักดันรายได้ของโรงพยาบาลวิภารามให้มีความมั่นคงขึ้นครับ

2. มุมมองต่อธุรกิจเฮลท์แคร์ (Healthcare) ในประเทศไทย

เฮลท์แคร์ถือเป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่สร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทยในฐานะ เมดิคัล ฮับ (Medical Hub) ของทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยเหตุผล ข้อหนึ่ง ด้านคุณภาพ เราไม่ได้น้อยหน้าประเทศตะวันตกเลยนะครับ ข้อสอง ด้านค่ารักษาพยาบาล ซึ่งหากเทียบกับคุณภาพ เราราคาถูกกว่าประเทศตะวันตกค่อนข้างเยอะ ชาวต่างชาติจึงไม่ใช่แค่มาบ้านเราเพื่อจุดประสงค์ด้านการท่องเที่ยวเท่านั้น แต่ยังมาเพื่อการรักษาพยาบาลด้วย เราจึงได้ยินคำว่า Medical Tourism กันหนาหูในช่วงสองถึงสามปีมานี้

โรงพยาบาลรามคำแหงและโรงพยาบาลในเครือมีศักยภาพพร้อมรองรับทั้งผู้ป่วยชาวไทยและชาวต่างชาติอยู่แล้วครับ โรงพยาบาลรามคำแหงจะเน้นดูแลผู้ป่วยคนไทยซึ่งเป็นฐานผู้ป่วยหลัก ในขณะที่โรงพยาบาลเชียงใหม่ราม ซึ่งถือเป็นโรงพยาบาลอันดับหนึ่งของภาคเหนือ เปิดทำการมานาน และมีมาตรฐานสูง ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีคนต่างชาติเยอะ ก็จะมีสัดส่วนผู้ป่วยชาวต่างชาติมากครับ และอีกแห่งก็คือโรงพยาบาลสุขุมวิท ซึ่งตั้งอยู่ย่านเอกมัย ที่นี่ก็มีสัดส่วนผู้ป่วยชาวต่างชาติเยอะมากครับ

นอกจากนี้ หากเรามองประเด็นเรื่องการเติบโตของสังคมเมือง จะเห็นว่าตอนนี้เมืองใหญ่ๆ ที่มีความเจริญมาก ความต้องการการรักษาพยาบาลที่ดีก็เพิ่มตามมาด้วย ซึ่งเราก็จะประเมินว่าพื้นที่เหล่านั้นเหมาะสมกับโรงพยาบาลประเภทใด เช่น ถ้าเป็นพื้นที่อยู่อาศัย ก็อาจจะเป็นโรงพยาบาลเอกชนแบบชำระเงินเอง แต่ถ้าเป็นพื้นที่ใกล้นิคมอุตสาหกรรมหรือพื้นที่ที่คนทำงานเยอะ ก็จะเป็นลักษณะโรงพยาบาลที่เน้นผู้ป่วยประกันสังคม เพื่อรองรับผู้ประกันตนครับ

                   

3.ความท้าทายสำคัญและแนวทางการรับมือ

เฮลท์แคร์เป็นหนึ่งในธุรกิจที่อาจจะดูหอมหวานสำหรับธุรกิจอื่นๆ ทำให้ธุรกิจที่มีเงินทุนหนาเริ่มกระโดดเข้ามาทำธุรกิจเฮลท์แคร์กันมากขึ้น จึงทำให้มีการแข่งขันสูงขึ้นในปัจจุบัน แต่เฮลท์แคร์อาจจะไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด โดยเฉพาะด้านการคัดเลือกบุคลากรที่เป็นผู้เชี่ยวชาญ ไม่ว่าจะเป็นแพทย์หรือพยาบาลที่เชี่ยวชาญเฉพาะโรคจริงๆ การลงทุนด้านระบบและเครื่องมือแพทย์ก็ค่อนข้างสูง รวมถึงยังต้องมีความพร้อมในการให้บริการผู้ป่วยทุกเมื่อ สิ่งเหล่านี้เป็นความท้าทายที่สุดครับ

นอกจากนี้ โรงพยาบาลไม่ได้เป็นเพียงแค่ผู้เล่นเดียวในธุรกิจเฮลท์แคร์ หรือเป็นลักษณะของธุรกิจที่ซื้อมา-ขายไป หรือเก็บเงินก็จบ เรามีสิ่งที่เรียกว่า “Payer” อาทิ เช่น กลุ่มลูกค้าที่ชำระเงินเอง ซึ่งจะน้อยลงเรื่อยๆ ด้วยค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพที่สูงขึ้น กลุ่มคนเหล่านี้ก็จะหาบริษัทประกันเพื่อเบิกค่ารักษาพยาบาล นอกจากนี้ยังมีกลุ่มผู้เบิกค่ารักษาพยาบาลจากภาครัฐผ่านระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า ตรงนี้ถือเป็นสิ่งที่เราต้องศึกษา ติดตาม และตั้งรับนโยบายจากภาครัฐอยู่เสมอ

เราจะพยายามมองหาวิธีการและความเป็นไปได้ต่างๆ
ที่จะเข้าไปดูแลคนไข้ทุกกลุ่มให้ได้ดีและมีประสิทธิภาพสูงสุดครับ

จุดแข็งของกลุ่มโรงพยาบาลรามคำแหงอีกประเด็น คือการเป็นโรงพยาบาลที่เปิดดำเนินการมานานกว่า 35 ปี ดังนั้นทำให้เรามีฐานผู้ป่วยที่แข็งแรง และมีความเชี่ยวชาญเรื่องการรักษาโรคยาก ถึงแม้ว่าปัจจุบันจะมีการแข่งขันในระดับโรงพยาบาลด้วยกันค่อนข้างสูง รวมทั้งมีอิทธิพลด้านเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น การปรึกษาแพทย์ทางออนไลน์เพื่อรักษาโรคง่ายๆ เองได้ที่บ้าน สิ่งเหล่านี้เหมือนจะเป็น Disruption ของวงการเฮลท์แคร์ก็จริง แต่สำหรับการรักษาโรคยากมากๆ เทคโนโลยีก็ยังไม่สามารถทดแทนได้ เราจึงยังคงจำเป็นต้องให้ผู้ป่วยมารับการรักษาที่โรงพยาบาลครับ


เร็วๆ นี้ เราจะมีการ Rebranding โดยเมื่อเราปรับแบรนด์ให้ดูทันสมัยขึ้น เราไม่ได้มุ่งเน้นเรื่องวิธีการรักษาเพียงอย่างเดียว เราเน้นไปที่การดูแลสุขภาพเพิ่มขึ้น เพราะคนรุ่นใหม่หรือคนยุคปัจจุบัน นอกจากเรื่องคุณภาพการรักษาพยาบาลแล้ว เขายังคำนึงถึงประสบการณ์ในการเข้ารับบริการการรักษาพยาบาลด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ต้องสะอาด เรียบร้อย สวยงาม สะดวกสบาย นอกเหนือจากการดูแลรักษา จะเห็นว่าเรามีการเปิดร้านอาหารเพิ่มขึ้น และมีการปรับรูปแบบการให้บริการให้ทันสมัยยิ่งขึ้นครับ

เราไม่ได้เน้นแค่คนป่วยจะต้องมาโรงพยาบาล คนแข็งแรงก็มาเช็คอัพ มาฟื้นฟู หรือพัฒนาสมรรถภาพร่างกายตัวเองได้ เพราะฉะนั้นเราต้องการเป็นสถานที่ที่คนเข้ามาแล้วรู้สึกมีความสุขครับ

4.การปรับตัวเพื่อขานรับนโยบายด้านความยั่งยืน (ESG) ซึ่งเป็น Mega Trend แห่งยุค

เริ่มจากด้านสิ่งเเวดล้อม (Enviromment) นะครับ แน่นอนโรงพยาบาลเราเน้นการรักษาคน ช่วยชีวิตคนเป็นหลัก แต่ก็ต้องยอมรับว่าทุกกระบวนการล้วนสร้างขยะค่อนข้างเยอะ ดังนั้น ข้อหนึ่งเลย เราต้องมีระบบบริหารจัดการขยะที่ดีและได้มาตรฐาน เราแยกประเภทวัสดุทางการแพทย์หลายๆ อย่าง ซึ่งอาจจะมีการปนเปื้อน เช่น เสื้อผ้าผู้ป่วยหรือผ้าปูที่นอนที่เก่าแล้ว ติดต่อให้บริษัทที่รับซื้อเพื่อนำไปเป็นเชื้อเพลิงสำหรับโรงไฟฟ้าพลังงานขยะครับ นอกจากนั้น เรายังติดตั้งแผงโซล่าเซลล์เพื่อผลิตกระเเสไฟฟ้าในช่วงกลางวัน ซึ่งช่วยในเรื่องของการประหยัดพลังงานได้อีกแรง

ส่วนงานด้านสังคม (Social) เราก็ดำเนินโครงการต่างๆ เพื่อตอบแทนสังคมมาอย่างสม่ำเสมอ อาทิ เช่น รามฮีโร่รัน (RAM HERO RUN) สืบเนื่องจากโรงพยาบาลรามคำแหงเรามีความเชี่ยวชาญเรื่องโรคหัวใจ ดังนั้น เราเชื่อว่าทุกคนสามารถเป็นฮีโร่ได้ งานวิ่ง รามฮีโร่รัน (RAM HERO RUN) จึงจัดอบรมวิธีช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน (CPR) แก่บุคคลทั่วไปโดยไม่มีค่าใช้จ่าย โดยตลอด 2 ปีที่ผ่าน โครงการนี้ได้ผลิตผู้เข้ารับการอบรมไปหลายรุ่นแล้วครับ โดยท่านใดที่ผ่านการอบรมการช่วยชีวิตผู้ป่วยกระทันหันมาแล้วก็จะมาเข้าร่วมงานวิ่งต่อ ที่สำคัญ รายได้หลังหักค่าใช้จ่าย เราก็ยังนำไปซื้อวัสดุอุปกรณ์การแพทย์เพื่อติดตั้งตามสถานที่ต่างๆ เพื่อช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับสังคมครับ

นอกจากนี้ ที่ผ่านมาจะเห็นว่าโรงพยาบาลรามคำแหงเน้นไปที่การรักษาโรค แต่เรามองว่าปัจจุบันผู้คนหันมาสนใจเรื่องการดูแลร่างกายเชิงป้องกันและฟื้นฟูมากขึ้น (Preventive Healthcare)

เราจึงอยากเป็นส่วนหนึ่งที่จะตอบแทนสังคมด้วยการทำกิจกรรมส่งเสริมให้ประชาชนดูแลสุขภาพมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อประเทศมากกว่าครับ ดังนั้น เราจะเปลี่ยนเทรนด์ จากคำว่า Sick Care ที่ต้องรอให้ป่วยก่อนแล้วค่อยมาโรงพยาบาล เป็น Health Care มากขึ้น คือมาตรวจสุขภาพเพื่อเช็คความเสี่ยงต่างๆ ด้วยแพคเกจตรวจสุขภาพที่มีความหลากหลายตอบสนองทุกช่วงวัย ความเสี่ยง และอาชีพครับ

นอกจากนี้ยังมีกลุ่มโปรแกรมตรวจเช็คและฟื้นฟูสุขภาพภายในอื่นๆ เช่น เรามีศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพหัวใจและปอด โดยผู้ป่วยโรคหัวใจที่ผ่านการผ่าตัดใหญ่ไปแล้ว และอยากกลับมาแข็งแรง ก็จะมาฟื้นฟูร่างกายได้ที่นี่ รวมทั้งกลุ่มนักกีฬา กลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรังก็เช่นกัน เราเห็น สสส. รณรงค์เรื่อง NCD โรคเบาหวาน ความดัน ไขมัน ซึ่งนอกจากการคุมอาหารและการออกกำลังกายแล้ว เรามีโปรแกรมเหล่านี้ที่ช่วยให้ผู้ป่วยที่ต้องการฟื้นฟูสุขภาพมีสุภาพที่แข็งแรงขึ้น

สุดท้าย ด้านธรรมาภิบาล (Governance) เนื่องจากเครือโรงพยาบาลรามคำแหงมีขนาดค่อนข้างใหญ่ เราดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพคน ดังนั้น สิ่งแรกที่ต้องคำนึงคือเรื่องจรรยาบรรณในการดูแลรักษาความปลอดภัยแก่ผู้ป่วย นี่คือมาตรฐานที่เรายึดมั่นมาตลอดไม่ว่าเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร ดังจะเห็นได้จากรางวัลมาตรฐานด้านความปลอดภัยต่างๆ ในระดับสากลได้เราได้รับ เช่น JCI (The Joint Commission), AACI (American Accreditation Commission International) และ มาตรฐานโรงพยาบาลและบริการสุขภาพ (HA) เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็เป็นการสร้างความมั่นใจให้กับผู้เข้ารับการรักษาพยาบาลทั้งชาวไทยและต่างชาตินะครับ

สำหรับเรื่องโครงสร้างองค์กร เรามีการปรับให้เกิดความชัดเจนและโปร่งใสในหน้าที่ความรับผิดชอบ สามารถตรวจสอบได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราทำมาและมีการพัฒนามาตลอด เพื่อสร้างความมั่นใจทั้งในฝั่งของผู้เข้ารับบริการ และนักลงทุนครับ

รับชมรายการ Executive Talk by ShareInvestor ทางช่อง YouTube : ShareInvestor Thailand


กำลังโหลดความคิดเห็น