IRPC เผยปีนี้ส่อเห็นการหยุดโรงงานบางยูนิต หลังทิศทางปิโตรเคมียังไร้แววฟื้นตัว แย้มเจรจาขายที่ดินให้นักลงทุนต่างชาตินำไปใช้ประโยชน์ กางแผนอัดงบลงทุน5ปีนี้ 1.3หมื่นล้านบาท ส่วนใหญ่ใช้ในการซ้อมบำรุงเครื่องจักรและก่อสร้างโรงงานให้แล้วเสร็จ ส่วนธุรกิจใหม่ประเมินใช้เงินราว 6พันล้านบาทคาดมีความชัดเจนในปีนี้
นางสาวเอธิตา อนันตธุรการ ผู้จัดการฝ่ายอาวุโส การเงินและนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน)หรือIRPC เปิดเผยว่าในปี 2568 บริษัทยังเน้นธุรกิจหลัก คือโรงกลั่นและปิโตรเคมี ที่จะทำให้มีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคา (EBITDA) เพิ่มขึ้นแต่ขึ้นอยู่กับสภาพตลาด โดยธุรกิจปิโตรเลียมนั้น โรงกลั่นไออาร์พีซีสามารถผลิตน้ำมันดีเซลกำมะถันต่ำหลังจากโครงการUCFแล้วเสร็จ ดังนั้นในปีนี้บริษัทฯมุ่งเน้นการทำตลาดน้ำมันเพื่อขายในประเทศเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากมีมาร์จินดีกว่าการขายในตลาดประเทศเพื่อนบ้านCLMV ซึ่งจะช่วยทำให้ EBITDA บริษัทปรับตัวเพิ่มมากขึ้น
ส่วนธุรกิจปิโตรเคมี บริษัทจะมุ่งเน้นการลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ โดยอาจจะมีการปิดโรงงานบางยูนิตชั่วคราวหรือถาวร คาดว่าจะเริ่มเห็นการShutdown บางโรงงานในปีนี้ ยอมรับต้นทุนการผลิตต่อหน่วยสูงกว่าคูแข่ง แต่จะรักษาฐานลูกค้าเอาไว้ ขณะเดียวกันบริษัทฯจะเพิ่มสัดส่วนการผลิตเม็ดพลาสติกเกรดพิเศษ (Specialty)ให้อยู่ที่สัดส่วน 40% ของกำลังการผลิต อย่างไรก็ดีบริษัท
นอกจากนี้ บริษัทมีแผนบริหารจัดการที่ดินที่มีอยู่ในหลายจังหวัด โดยจะปล่อยเช่าหรือขายที่ดินให้นักลงทุน ล่าสุด อยู่ระหว่างการเจรจากับนักลงทุนต่างชาติที่จะซื้อที่ดินไปใช้ประโยชน์ ส่วนที่ดินในเขตประกอบการอุตสาหกรรมก็จะใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์ เช่นเดียวกับท่าเรือที่ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจากับต่างชาติที่สนใจเข้ามาพัฒนา
ส่วนธุรกิจอื่นๆ เช่นธุรกิจรีไซเคิลพลาสติก ขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจาเจ้าของเทคโนโลยี คาดว่าจะมีความชัดเจนในปีนี้ เช่นเดียวกับธุรกิจสี ที่จับมือกับเบเยอร์ รวมถึงธุรกิจโรงพยาบาลด้วย
สำหรับงบลงทุน 5ปีนี้ใช้เงินลงทุน1.3หมื่นล้านบาท ส่วนใหญ่ใช้ในการซ่อมบำรุงเครื่องจักร และโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ส่วนเงินลงทุนธุรกิจใหม่คาดว่าจะอยู่ที่ 6พันล้านบาท ซึ่งยังไม่รวมอยู่ในงบลงทุนดังกล่าว
ทั้งนี้บริษัทตั้งเป้าหมายว่าธุรกิจปิโตรเคมีมีEBITDAเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 37%ในปี2572จากปัจจุบันอยู่ที่ 24% โดยใน4-5ปีข้างหน้าจะมีธุรกิจใหม่เข้ามาเสริมคิดเป็นสัดส่วน12%