PTTGC ลั่นปีนี้พลิกกลับมามีกำไรอีกครั้ง หลังขาดทุนปี67เกือบ 3หมื่นล้านบาท จากการทำ Holistic Optimization ปรับโครงสร้างต้นทุน เสริมศักยภาพการแข่งขัน และวางรากฐานสู่การเติบโตในอนาคต โดยตั้งเป้าลดต้นทุนและเพิ่มรายได้ในปีนี้ 4,500 ล้านบาทต่อปี ส่วนระยะยาว เตรียมนำเข้าอีเทนจากสหรัฐฯมาใช้ทดแทนวัตถุดิบอื่นๆ เพื่อลดต้นทุน โดยไม่ต้องปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานของโรงงานคาดปี73 EBITDA 300ล้านเหรียญสหรัฐ
นายณะรงค์ศักดิ์ จิวากานันต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC เปิดเผยว่า ทิศทางอุตสาหกรรมปิโตรเคมีในปี2568 ยังคงเผชิญภาวะเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน นโยบายสหรัฐอเมริกาที่เปลี่ยนแปลง และภาวะอุปทานส่วนเกินจากกำลังการผลิตใหม่ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่คาดการณ์ได้ยากว่าอุตสาหกรรมกลับมาฟื้นตัวดีขึ้นได้เมื่อใด ดังนั้นบริษัทตั้งเป้าหมายในปีนี้จะพลิกกลับมามีกำไรอีกครั้ง จากปี2567ที่ขาดทุนสุทธิสูงถึง 29,800 ล้านบาท
โดยระยะสั้นบริษัทวางเป้าลดต้นทุนและเพิ่มรายได้ใน1-2ปีนี้ราว 4,500 ล้านบาทต่อปี มาจากการปรับลดค่าใช้จ่าย การเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขัน จากการเสริมสร้างประสิทธิภาพด้านการสร้างรายได้ เสริมสภาพคล่องจากสินทรัพย์ที่มี และปรับปรุงการดำเนินงานให้มีศักยภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยให้บริษัทลดการขาดทุนและพลิกมีกำไรได้ ซึ่งในปี2567 บริษัทขาดทุนสุทธิมากถึง 29,800 ล้านบาท ส่วนใหญ่มาจากการปรับโครงสร้าง(ด้อยค่าสินทรัพย์ ) ของVencorex และPTTACรวม 21,800 ล้านบาท และการขาดทุนจากการดำเนินงานของ Vencorex และPTTAC 4,600 ล้านบาท ซึ่งเป็นการบันทึกที่เกิดขึ้นครั้งเดียว แต่ส่วนที่เหลือเป็นการขาดทุนจากการดำเนินงานของPTTGC 3,400ล้านบาท
ทั้งนี้ Vencorex France และ Vencorex TDI ได้ยื่นคำร้องต่อศาลแพ่งเมืองลียง ประเทศฝรั่งเศสเมื่อเดือนกันยายน ปี2567 เพื่อเข้าสู่กระบวนการปรับปรุงโครงสร้างทางธุรกิจในชั้นศาล โดยPTTGC ได้บันทึกด้อยค่าไปหมดแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการประมูลขายทรัพย์สินของVencorexที่สหรัฐอเมริกาและไทยที่มีมูลค่าอยู่ ซึ่งมีนักลงทุนสนใจคาดว่าจะปิดได้ในไตรมาส1/2568 และจะบันทึกเป็นกำไรในครึ่งแรกปีนี้
ขณะเดียวกันบริษัทก็อยู่ระหว่างพิจารณาการขายสินทรัพย์ในกลุ่ม PTTGC ที่ไม่ใช่ธุรกิจหลัก (Core Business) แต่จะไม่กระทบกับการดำเนินงานของธุรกิจของบริษัทแต่อย่างใด
“ บริษัทมุ่งมั่นพลิกผลประกอบการด้วย Holistic Optimization เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ ทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพวัตถุดิบ เพื่อสร้างความมั่นคงด้านวัตถุดิบโอเลฟินส์โดยนำเข้าอีเทนจากสหรัฐฯ , การเพิ่มประสิทธิภาพห่วงโซ่อุปทานและการดำเนินงานโดยนำเทคโนโลยีมาใช้และลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์ , การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่และนำองค์ความรู้ความเชี่ยวชาญไปปรับใช้ในallnexเพื่อสร้างรายได้เพิ่มขึ้น ช่วยผลักดัน EBITDA สู่ระดับ 300 ล้านเหรียญสหรัฐหรือกว่า 1 หมื่นล้านบาท ภายในปี 2573”
นายณะรงค์ศักดิ์ กล่าวว่า เพื่อเสริมความสามารถในการแข่งขันและสร้างความมั่นคงในระยะสั้น บริษัทได้บรรลุข้อตกลงการจัดหาอีเทนกับ ปตท. คาดว่าจะได้รับการจัดสรรปริมาณอีเทนเพิ่มขึ้นอีก 20% จากปี 2567 พร้อมกันนี้ บริษัทฯ ยังใช้บริหารสินทรัพย์ให้เกิดประโยชน์สูงสุดตามแนวทาง Asset Light และลดค่าใช้จ่ายด้านการลงทุน (Capex) รวมถึงดำเนินมาตรการเสริมสภาพคล่องผ่านวงเงินสินเชื่อหมุนเวียน เพื่อรักษาสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งและรองรับการเติบโตในอนาคต
ส่วนการเสริมความมั่นคงด้านวัตถุดิบและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันด้านต้นทุนในระยะยาว PTTGC เป็นรายแรกจะที่นำเข้าอีเทนจากสหรัฐฯ มาใช้ในประเทศไทย เพื่อทดแทนวัตถุดิบอื่นๆ โดยได้ลงนามข้อตกลงร่วมกับ ปตท. และพันธมิตรระดับโลก ได้แก่ บริษัทย่อยใน Enterprise Products Partners บริษัท เอ็มไอเอสซี เบอร์ฮาด และบริษัท ไทยแท้งค์เทอร์มินัล จำกัด เพื่อจัดหาและขนส่งอีเทนคุณภาพสูง 400,000 ตันต่อปี เป็นระยะเวลา 15 ปี ทั้งนี้ บริษัทฯสามารถนำอีเทนมาใช้เป็นวัตถุดิบได้โดยไม่ต้องปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานของโรงงาน ซึ่งได้รับการออกแบบให้รองรับอีเทนได้ตั้งแต่ต้น ลดความจำเป็นในการลงทุนเพิ่มเติม คาดว่าโครงการจะเริ่มดำเนินการในปี 2572
นอกจากนี้ บริษัทฯเดินหน้า allnex SEA Hub ในระยอง ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในเฟสแรก และคาดว่าจะตัดสินใจลงทุนภายในปี 2568 โดยมุ่งเน้น Waterborne Coatings และ Coating Resins ชนิดพิเศษ เพื่อขยายตลาดในอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ ในขณะเดียวกัน บริษัทฯ ผลักดัน allnex ให้เติบโตอย่างต่อเนื่องผ่านกลยุทธ์ขยายตลาดและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งในปี 2567 allnex ได้เพิ่มกำลังการผลิตในโรงงานที่ใหญ่ที่สุดที่ มณฑลเจ้อเจียง ประเทศจีน และลงทุนในโรงงานแห่งใหม่ที่ เมืองมะหาด ประเทศอินเดีย ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาสที่ 3/ 2568 โครงการนี้ช่วยเสริมศักยภาพด้านการผลิตและการกระจายสินค้าในตลาดที่มีการเติบโตสูง
ส่วนการพัฒนามาบตาพุดเป็น Specialty Hub ยังถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญของ PTTGC เพื่อรองรับธุรกิจที่มีมูลค่าสูงและคาร์บอนต่ำ โดยอยู่ระหว่างการทำงานร่วมกับภาครัฐเพื่อดึงดูดพันธมิตรระดับโลกที่จะส่งเสริมธุรกิจทั้งห่วงโซ่อุปทาน (supply chain) เสริมศักยภาพการแข่งขันของประเทศไทย ควบคู่ไปกับการศึกษาความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจรายอื่น ๆ เพื่อนำโครงการใหม่ ๆ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของ Specialty Hub โดยมุ่งเน้นอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สร้างศูนย์กลางอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์เฉพาะทางที่ครบวงจร อาทิเช่น การร่วมมือกับ Toray เพื่อศึกษาพัฒนาเทคโนโลยีในการผลิตเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษจากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร ที่เหมาะสำหรับอุตสาหกรรมชิ้นส่วนรถยนต์ สิ่งทอ และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ โดยได้รับทุนสนับสนุนจากญี่ปุ่น คาดว่าจะศึกษาแล้วเสร็จในปี 2570