xs
xsm
sm
md
lg

บวท.ลุยแก้คอขวดเพิ่มศักยภาพจราจรอากาศ อัด 3.6 พันล้านผุดศูนย์ควบคุมรับ 2 ล้านเที่ยวดันไทย”ฮับการบิน”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



บวท.เร่งแก้คอขวด เพิ่มศักยภาพจราจรอากาศ ทำ Benchmark “ภูเก็ต-ฟุกุโอกะ”ขยายรองรัยเที่ยวบินสนามบินภูมิภาค อัด 3.6 พันล้านบาท ผุด 3 ศูนย์ควบคุม “อู่ตะเภา-ล้านนา-อันดามัน” หนุนรับ 2 ล้านเที่ยวดันไทย”ฮับการบิน”

นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการเดินทางด้วยเครื่องบิน ซึ่งเป็นผลมาจากนโยบายฟรีวีซ่าของรัฐบาล ในขณะที่ศักยภาพของสนามบินของไทยโดยเฉพาะสนามบินภูมิภาค ถือว่ามีความสำคัญในการสนับสนุนการเป็นศูนย์กลางการบินในภูมิภาค (Aviation Hub) ของประเทศไทยและจะเป็นโอกาสในการสร้างรายได้ให้ประเทศตามนโยบายของรัฐบาล

สนามบินภูเก็ต ถือว่ามีจำนวนนักท่องเที่ยวและจำนวนเที่ยวบินเป็นอันดับสาม รองจากสนามบินสุวรรณภูมิและสนามบินดอนเมือง
แต่มีขีดความสามารถรองรับได้ 25 เที่ยวบิน/ชั่วโมง เนื่องจาก มีข้อจำกัดทางกายภาพ ที่มีทางวิ่ง (รันเวย์) 1 เส้น จึงได้มอบหมายให้ บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (บวท.) เร่งขยายความสามารถในการรองรับปริมาณเที่ยวบิน เพื่อให้สามารถรองรับปริมาณการจราจรทางอากาศที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น

โดยบวท.ได้เลือกสนามบินฟูกูโอกะ ซึ่งเป็นสนามบินหลักของภูมิภาคคิวชู ประเทศญี่ปุ่น เป็นคู่เทียบและแบบอย่างสําหรับวิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศ หรือ Benchmark เพื่อเป็นแนวทางในการเพิ่มศักยภาพการบริหารจัดการจราจรทางอากาศ เนื่องจากมีลักษณะทางกายภาพใกล้เคียงกับสนามบินภูเก็ตและสนามบินหลักของภูมิภาคอื่น ๆ ในประเทศไทย โดยสนามบินฟูกูโอกะ เป็นสนามบินที่มีทางวิ่ง (รันเวย์) เส้นเดียว (Single Runway) ที่มีความสามารถในการรองรับเที่ยวบินได้สูงที่สุดของญี่ปุ่น โดยรองรับได้ถึง 38 เที่ยวบิน/ชั่วโมง ขณะที่สนามบินภูเก็ต ซึ่งมีรันเวย์เดียว รองรับได้เพียง25 เที่ยวบิน/ชม.

“ให้บวท. ดูแม่แบบ จากสนามบินฟูกูโอกะ ว่ามีวิธีการบริหารจัดการให้มีศักยภาพ ในการรองรับเที่ยวบิน รองรับนักท่องเที่ยวอย่างไร ที่ทำให้นักท่องเที่ยว มั่นใจในเรื่องความปลอดภัยและความสะอาดของพื้นที่และอาคารผู้โดยสาร สนามบินฟุกุโอกะนั้นรองรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก จากประเทศไทย มี 3 สายการบิน ซึ่งมีตารางการบินล่วงหน้า สำหรับเที่ยวบินขนส่งสินค้าและเที่ยวบินรับ-ส่งผู้โดยสาร ได้แก่ การบินไทย ไทยแอร์เอเชีย และไทยเวียตเจ็ท”


@เที่ยวบิน ไทย-ญี่ปุ่น เติบโต23%

นายพิเชฐ คุณาธรรมรักษ์ ประธานคณะกรรมการ บวท. กล่าวว่า ปริมาณเที่ยวบินระหว่างประเทศ ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2567 – มกราคม 2568 (4 เดือน) มีเที่ยวบินรวม 165,474 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 23% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเที่ยวบินระหว่างประเทศไทย-ญี่ปุ่น มีปริมาณรวม 7,588 เที่ยวบิน คิดเป็น 5 % ของเที่ยวบินระหว่างประเทศทั้งหมด โดยประเทศญี่ปุ่น อยู่อันดับที่ 7 ที่ทำการบินเข้า/ออกประเทศไทยสูงสุด ณ ปัจจุบัน ทำการบินเฉลี่ยประมาณวันละ 62 เที่ยวบิน

สนามบินฟูกูโอกะ พบว่ามีปริมาณเที่ยวบินหนาแน่นเป็นอันดับที่ 4 ของประเทศญี่ปุ่น สำหรับสถิติปริมาณเที่ยวบินระหว่างไทย – ฟูกูโอกะ ทำการบินเฉลี่ยวันละ 6 เที่ยวบิน คิดเป็น 10 %ของเที่ยวบินระหว่างประเทศไทย – ญี่ปุ่น ทั้งหมด และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในขณะนี้มีหลายสายการบินขอเพิ่มเที่ยวบินไปยังเมืองฟูกูโอกะ ซึ่งมีชื่อเสียงด้านการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจ จึงทําให้มีความต้องการในการเดินทางทางอากาศเพิ่มขึ้นเป็นจํานวนมาก

ซึ่ง บวท.ได้ศึกษาดูงานและจะนำรูปแบบและแนวทางการบริหารจัดการการจราจรทางอากาศ ทั้งลักษณะการบริหารจัดการห้วงอากาศ การบริหารจัดการลักษณะทางกายภาพของสนามบิน อาทิ ทางวิ่ง ทางขับ ลานจอดอากาศยาน อาคารผู้โดยสาร และการบริหารจัดการการใช้งานทางวิ่ง ของสนามบินฟูกูโอกะ เพื่อเป็นแนวทางในการปรับปรุง แก้ไขรูปแบบ และแนวทางการบริหารจัดการการจราจรทางอากาศของสนามบินภูเก็ต และสนามบินภูมิภาคอื่น ๆ รวมถึงการวิเคราะห์หาค่าขีดความสามารถในการรองรับเที่ยวบิน เพื่อให้สนามบินภูเก็ต และสนามบินภูมิภาคอื่น ๆ สามารถเพิ่มความสามารถในการรองรับของเที่ยวบินได้มากขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยสูงสุด


@เพิ่มศักยภาพ”สนามบินภูเก็ต”รับ 35 เที่ยวบิน/ชั่วโมง ในปี 68

นายณพศิษฏ์ จักรพิทักษ์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บวท. กล่าวว่า จากการศึกษาแนวทาง วิธีการบริหารจัดการ และข้อจำกัดด้านต่าง ๆ ของสนามบินฟูกูโอกะเปรียบเทียบกับสนามบินภูเก็ต พบว่า แนวทางการเพิ่มความสามารถในการรองรับเที่ยวบินของสนามบินภูเก็ตนั้น จะต้องพิจารณา 3 ด้าน ดังนี้

1. ด้านการบริหารจัดการจราจรทางอากาศ ต้องเลือกใช้ทางวิ่งขึ้น-ลง ที่เหมาะสม และในการให้บริการควบคุมจราจรทางอากาศ โดย บวท. ได้ดําเนินโครงการ High Intensity Runway Operation (HIRO) ณ สนามบินภูเก็ต เพื่อลดระยะการครองทางวิ่ง (Runway Occupancy Time (ROT)) ทําให้การจัดระยะห่างลดลง จะทำให้สามารถรองรับเที่ยวบินได้เพิ่มขึ้น

2. ด้านลักษณะทางกายภาพของสนามบิน ต้องพิจารณาลักษณะทางกายภาพของ Rapid Exit Taxiway (RET) ให้มีระยะทางที่เหมาะสม และใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ จะทําให้อากาศยานใช้ระยะเวลาในการครองทางวิ่งน้อยลง สามารถลดระยะห่างของอากาศยานลดลง และสามารถรองรับเที่ยวบินได้มากขึ้น

3. ด้านกระบวนการตัดสินใจร่วมกันของผู้ใช้งาน ผู้ให้บริการ และผู้ดำเนินงานสนามบิน หรือ Airport Collaborative Decision Making (A-CDM) และการบูรณาการร่วมกับระบบบริหารความคล่องตัวการจราจรทางอากาศ (Air Traffic Flow Management : ATFM) หรือ ATFM – ACDM Integration ซึ่งจะทำให้การบริหารจัดการในภาพรวมของสนามบินเกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ บวท. ยังมีแผนในการนําระบบติดตามอากาศยานภาคพื้น Multilateration (MLAT) รวมทั้งระบบ Digital Tower มาใช้ในการจัดการจราจรทางอากาศ เพื่อช่วยในการบริหารจัดการจราจรภายในพื้นที่สนามบินได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยมีเป้าหมายเพิ่มประสิทธิภาพและขีดความสามารถในการรองรับเที่ยวบินของสนามบินภูเก็ต ให้ได้ 35 เที่ยวบิน/ชั่วโมง ภายในปี 2568


@ทำ Benchmark “ภูเก็ต-ฟุกุโอกะ”เร่งเพิ่มศักยภาพ

นายเถลิงศักดิ์ ผาทอง ผู้อำนวยการใหญ่ (บริการการเดินอากาศส่วนภูมิภาค) บวท.กล่าวว่า จากการศึกษาสนามบินภูเก็ต และ สนามบินฟุกุโอกะ มีทางวิ่งเส้นเดียวเหมือนกันซึ่งมีความท้าทาย ในการจราจรทางอากาศ ที่ต้องจัดการขึ้นลงแบบผสมให้สอดรับกับความหนาแน่นของเที่ยวบิน นอกจากนี้ หากเกิดมีเครื่องบินขึ้น/ ลงล่าช้า จะเกิดปัญหาทันที เพราะทางวิ่งเส้นเดียว จึงมีข้อจำกัดในการใช้งาน

“ในการทำ Benchmark ระหว่างสนามบินภูเก็ตและสนามบินฟุกุโอกะ เพื่อหาแนวทางในการทำให้สนามบินภูเก็ตเพิ่มการรองรับจาก 25 เที่ยวบิน/ชม. ไปถึง 38 -40เที่ยวบิน/ชั่วโมง เหมือนฟุกุโอกะอย่างไร”

จากข้อมูลพบว่า ก่อนเกิดโควิด สนามบินภูเก็ตมีผู้โดยสาร 12.5 ล้านคน/ปี มีปริมาณเที่ยวบิน 116,833 เที่ยวบิน/ปี และมีการปรับปรุงรันเวย์ ทำให้รองรับเพิ่มจาก 20 เที่ยวบิน/ชม.เป็น 25 เที่ยวบิน/ชม. หรือ 1.31 แสนเที่ยวบิน/ปี เป็น 1.65 แสนเที่ยวบิน/ปี มีปริมาณ 400 เที่ยวบิน/วัน และเปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง

และจะมีการพัฒนาเฟส 2 ขยายอาคารผู้โดยสาร เพิ่มหลุมจอด และปรับปรุงแท็กซี่เวย์ รองรับผู้โดยสารเพิ่มเป็น 18 ล้านคน/ปี แล้วเสร็จในปี 2573

ส่วนสนามบินฟุกุโอกะ ก่อนเกิดโควิด มีผู้โดยสาร 24 ล้านคน/ปี มีปริมาณเที่ยวบิน 181,480 เที่ยวบิน/ปี ต่อมาได้ มีการก่อสร้าง Parallel Taxiways ให้เครื่องบินมีระยะเวลาอยู่บนรันเวย์น้อยลง ทำให้เพิ่มการรองรับจาก 1.64 แสนเที่ยวบิน/ปี เป็น 1.76 แสนเที่ยวบิน/ปี รันเวย์รองรับได้สูงสุด 38 เที่ยวบิน/ชั่วโมง มีปริมาณ 520 เที่ยวบิน/วัน และเปิดให้บริการ 15 ชั่วโมงต่อวันตั้งแต่ 7.00 น. - 24.00 น

ขณะที่มีการเปิดใช้รันเวย์ที่ 2 ในวันที่ 3 มี.ค. 68 ซึ่งเพิ่มการรองรับได้เป็น 1.88-2.11 แสนเที่ยวบิน/ปี

@ลดเวลาอยู่บนรันเวย์ให้น้อยลง

สิ่งที่พบในการบริหารจัดการที่แตกต่างกัน ของสนามบินฟูกูโอกะ และสนามบินภูเก็ต ปัญหาคือ หากรันเวย์ และแท็กซี่เวย์ ไม่ได้สนับสนุนกัน การจัดจราจรทางอากาศ เพิ่มปริมาณเที่ยวบินจะเพิ่มขึ้นยาก ดังนั้นเป้าหมายของภูเก็ตที่ 38-40 เที่ยวบิน/ชม. จะต้องลดระยะเวลาที่เครื่องบินอยู่บนรันเวย์ให้น้อยลง ซึ่งต้องประสานกันตั้งแต่ภาคสนามบิน กระบวนการตัดสินใจ และกระบวนการปฎิบัติการ ระหว่างเจ้าหน้าที่หอบังคับการบินและนักบิน


@สนามบินภูเก็ต เตรียมปิดซ่อมรันเวย์ 7 ชม./วัน เริ่ม 1 เม.ย. 68

ปัจจุบัน สนามบินภูเก็ต ให้บริการ 24 ชม. โดยมีแผนจะปิดรันเวย์เพื่อซ่อมแซมทางขับสายคู่ขนาน และระบบไฟรันเวย์ ในช่วง LowSeason นี้เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 2568 - 30 ต.ค. 2568 เป็นระยะเวลา 7 เดือน โดยจะปิดรันเวย์ ในช่วงเวลากลางคืน เป็นเวลา 7 ชม. ตั้งแต่เวลา 00.30 น.- 07.30 น. ทำให้เหลือเวลาให้บริการ 15 ชม. โดยได้เตรียมความพร้อมไว้แล้วโดยไม่จัดSlot ขึ้นลง ในช่วงเวลาดังกล่าว ซึ่งปกติมีเที่ยวบินไม่มาก ประมาณ 10 เที่ยวบิน โดยสายการบินที่มีเที่ยวบินในช่วงเวลาดังกล่าว จะปรับตารางเวลาไปอยู่ก่อนปิด หรือหลังเปิดใช้แทน จึงไม่กระทบต่อสายการบิน และไม่มีการยกเลิกเที่ยวบินแต่อย่างใด โดยขณะนี้ ตารางการบินฤดูร้อนจัดเรียบร้อยแล้ว

@คาดปี 80 เที่ยวบินประเทศไทยพุ่งแตะ 2 ล้าน

นายณพศิษฏ์ จักรพิทักษ์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บวท. กล่าวว่า ในการทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการบินในภูมิภาค (Aviation Hub) ตามนโยบายของรัฐบาล จะมีการสร้างเส้นทางบินควบคู่กับการใช้เทคโนโลยีมาเพิ่มความปลอดภัย และ เพิ่มขีดความสามารถในการรองรับปริมาณจราจรทางอากาศ และประสิทธิภาพและความปลอดภัยในการให้บริการและเป็นไปตามมาตรฐานของICAO

ในการ สร้างเส้นทางบินที่สำคัญ มีการประสานกับนานาชาติเป็นการสร้างเส้นทางบินใหม่แบบคู่ขนาน (Parallel Route) เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาคอขวด เช่น เส้นทางการบินเข้า-ออกระหว่างประเทศไทยกับจีนทำให้เพิ่ม จาก 1 แสนเที่ยวต่อปีเป็น 2 แสนเที่ยวต่อปี อีกเส้นทางบินคือผ่านทางอินเดียเพื่อไปยุโรป มีการขยายจาก 1.3 แสนเที่ยวต่อปี เป็น 2 แสนเที่ยวต่อปี และที่ยังดำเนินการอยู่คือเส้นทางที่ผ่านไปทางเวียดนาม เลือกไปทางฮ่องกงญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจาในระดับนานาชาติ

นอกจากนี้ ก็จะมีการสร้างเส้นทางบินลงไปด้านใต้ผ่านทาง ประเทศ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ซึ่งจะเป็นการบินผ่าน เส้นทางให้มากขึ้นซึ่งตามการคาดการณ์ของICAO และ สมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (IATA) คาดว่าในปี 2570 ประเทศไทยจะมี 1.4 ล้านเที่ยวบิน และในปี 69 ปริมาณเที่ยวบินจะกลับไปเท่ากับปี 62 และในปี 2580 ปริมาณจะขึ้นไปอยู่ที่ 2 ล้านเที่ยวบิน


@ทุ่ม 3.6 พันล้านบาทผุด 3 ฮับการบิน “อู่ตะเภา อันดามัน ล้านนา “

นายณพศิษฏ์ กล่าวว่า นอกจาก สร้างเส้นทางบินใหม่ เพื่อรองรับปริมาณเที่ยวบินที่จะเพิ่มขึ้นแล้ว บวท.จะต้องมีการลงทุน เพื่อรองรับการให้บริการจราจรทางอากาศ 3 ศูนย์ ได้แก่ 1. สนามบินอู่ตะเภา โดยมีโครงการจัดเตรียมความพร้อมในการให้บริการเดินอากาศ วงเงินลงทุน 1,256 ล้านบาท ขณะนี้ออกแบบเสร็จแล้ว โดยใช้เงินกู้มาดำเนินการ มีเป้าหมายแล้วเสร็จเปิดให้บริการในปี 2572

2.ศูนย์ให้บริการเดินอากาศจ.พังงา เพื่อรองรับสนามบินใหม่คือ สนามบินอันดามัน บริหารการจราจรทางอากาศ ร่วมกับ สนามบินภูเก็ต กระบี่ อันดามัน วงเงินลงทุนประมาณ 1,200 ล้านบาท แล้วเสร็จปี 2573

3. ศูนย์ให้บริการเดินอากาศบ้านธิ จ.ลำพูน เพื่อรองรับสนามบินใหม่คือสนามบินล้านนา บริหารการจราจรทางอากาศ ร่วมกับ สนามบินเชียงใหม่ เชียงราย และล้านนาวงเงินลงทุนประมาณ 1,200 ล้านบาท แล้วเสร็จปี 2573โดยทั้ง 3 ฮับมีสนามบิน ขนาด 2 รันเวย์ รองรับ 1 แสนเที่ยวบิน/ปี

อย่างไรก็ตาม บวท. ได้เร่งดำเนินโครงการพัฒนาศักยภาพการให้บริการจราจรทางอากาศของศูนย์ควบคุมการบินภูมิภาคทั้ง 9 แห่ง ตามแผนพัฒนาสนามบินภูมิภาค และสนับสนุนการให้บริการรองรับเวลาเปิด-ปิดของสนามบิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสนามบินที่มีการเติบโตของปริมาณเที่ยวบินและผู้โดยสาร

ปัจจุบัน บวท.มีศูนย์ควบคุมการบินหลัก ที่ ทุ่งมหาเมฆ ,สุวรรณภูมิ , ดอนเมือง และส่วนภูมิภาค 9 แห่ง ซึ่งดูแลเขตการบิน (Aerodrome Control) 27 แห่ง

ได้แก่ 1.ศูนย์ควบคุมการบินเชียงใหม่ ดูแลสนามบินเชียงใหม่,เชียงราย ,ลำปาง ,แม่ฮ่องสอน
2.ศูนย์ควบคุมการบินพิษณุโลกดูแลสนามบินพิษณุโลก เพชรบูรณ์ น่าน แพร่ สุโขทัย ตาก แม่สอด
3.ศูนย์ควบคุมการบินหัวหินดูแลสนามบินหัวหิน ,ตราด
4.ศูนย์ควบคุมการบินอุดรธานี ดูแลสนามบินอุดรธานี
เลย
5.ศูนย์ควบคุมการบินอุบลราชธานี ดูแลสนามบินอุบลราชธานี ,ร้อยเอ็ด
6.ศูนย์ควบคุมการบินนครราชสีมา ดูแลสนามบินนครราชสีมา,บุรีรัมย์
7.ศูนย์ควบคุมการบินหาดใหญ่ ดูแลสนามบินหาดใหญ่,ตรัง ,นราธิวาส ,เบตง
8.ศูนย์ควบคุมการบินสุราษฎร์ธานี ดูแลสนามบินสุราษฎร์ธานี
9.ศูนย์ควบคุมการบินภูเก็ต ดูแลสนามบินภูเก็ต,ระนอง ,กระบี่


กำลังโหลดความคิดเห็น