- • MPI อยู่ที่ระดับ 98.89
- • แนวโน้ม MPI มีสัญญาณที่ดีขึ้น
- • ปัจจัยบวกมาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล การส่งออก และการท่องเที่ยวที่ขยายตัว
สศอ.เผยดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือนมกราคม 2568 ลดลงร้อยละ 0.85 จากช่วงเดียวกันปีก่อนมาอยู่ที่ระดับ 98.89 ชี้แนวโน้มส่งสัญญาณดีขึ้น หลังมีปัจจัยบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ การส่งออกและการท่องเที่ยวที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงร้อยละ 0.25 มาอยู่ที่ร้อยละ 2.0 หนุน GDP ภาคอุตสาหกรรมปรับเพิ่มขึ้น แต่กังวลสินค้าจีนทะลักเข้าไทยเพิ่มขึ้นจากนโยบายการขึ้นภาษีนำเข้าสหรัฐฯ
นายภาสกร ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยว่า ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือนมกราคม 2568 อยู่ที่ระดับ 98.89 หดตัวร้อยละ 0.85 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ขยายตัวจากเดือนก่อนร้อยละ 8.70 และมีอัตราการใช้กำลังการผลิต (CapU) อยู่ที่ร้อยละ 60.38 ลดลงร้อยละ 1.93 จากช่วงเดียวกันปีก่อน แต่ดีขึ้นเมื่อเทียบเดือน ธ.ค.67ที่ร้อยละ 55.97 เนื่องจากมาตรการภาครัฐบาลโครงการเพื่อแบ่งเบาภาระของประชาชน และมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายจากภาครัฐ เช่น โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ 10,000 บาทช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจหรือ GDP ได้ประมาณร้อยละ 0.275 โครงการพักหนี้ “คุณสู้ เราช่วย” และ โครงการลดหย่อนภาษีผ่าน Easy E-Receipt 2.0 ทำให้ผู้ประกอบการสามารถผลิตเพิ่มขึ้นรองรับคำสั่งซื้อจากการบริโภคที่เพิ่ม
รวมถึงตลาดส่งออกที่ขยายได้ดี สะท้อนจากการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมเดือนมกราคม 2568 ที่ขยายตัว โดยมีมูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมขยายตัวร้อยละ 17 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม (ไม่รวมทองคำ อาวุธ รถถัง และอากาศยานรบ) ขยายตัวร้อยละ 11.80 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะเดียวกันมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องได้รับอานิสงส์ เช่น อาหารและเครื่องดื่ม เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่ส่งผลลบต่อภาคการผลิต ได้แก่ ปัญหาหนี้ครัวเรือน ปัญหาค่าครองชีพ และสถานการณ์หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ยังอยู่ในระดับที่สูง กดดันกำลังซื้อของผู้บริโภคส่งผลให้การบริโภคชะลอตัวลง โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคและอุตสาหกรรมยานยนต์ นอกจากนี้มาตรการกีดกันทางการค้า ที่สหรัฐฯ นำมาใช้จัดเก็บภาษีจาก 3 ประเทศ ได้แก่ เม็กซิโก แคนาดา และจีน อาจส่งผลต่ออุตสาหกรรมไทย โดยเฉพาะสินค้าจากประเทศจีนที่อาจจะทะลักเข้ามาในไทยเพิ่มมากขึ้นกดดันMPIลดลง
ที่ผ่านมาไทยมีการนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มขึ้นทุกปี โดยในปี 2566 ไทยมีการนำเข้าจากประเทศจีนอยู่ที่ 18,301 ล้านเหรียญสหรัฐ และปี 2567 ไทยมีการนำเข้าจากประเทศจีนอยู่ที่ 20,720 ล้านเหรียญสหรัฐเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.21
สำหรับระบบการเตือนภัยด้านเศรษฐกิจอุตสาหกรรมภาพรวมของไทยเดือนมกราคม 2568 “ส่งสัญญาณเฝ้าระวัง” โดยปัจจัยภายในประเทศอยู่ในเกณฑ์เฝ้าระวังใกล้เคียงกับเดือนก่อน ตามปริมาณสินค้านำเข้าที่ขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง รวมถึงความเชื่อมั่นทั้งทางธุรกิจและผู้ผลิตที่มีระดับเพิ่มขึ้นไม่มากจากเดือนก่อน ในขณะที่ปัจจัยต่างประเทศอยู่ในเกณฑ์ปกติเบื้องต้นตามการขยายตัวของความเชื่อมั่นทางธุรกิจและแนวโน้มเศรษฐกิจของสหรัฐฯ แต่การผลิตของประเทศยูโรโซนและญี่ปุ่นอยู่ในภาวะเฝ้าระวังตามผลผลิตที่หดตัว
อย่างไรก็ดี ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้มีการประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย จากร้อยละ 2.25 เป็นร้อยละ 2.0 เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา คาดว่าจะทำให้ผู้ประกอบการในภาคการผลิตไทยได้รับอานิสงส์จากการใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย (Expansionary Monetary Policy) ในครั้งนี้ โดยเฉพาะในด้านของการลงทุนและการขยายตัวของธุรกิจ เนื่องจากต้นทุนการกู้ยืมเงินลดลง ผู้ประกอบการมีต้นทุนของแหล่งเงินทุนที่ถูกลง ส่งผลให้มีแรงจูงใจในการลงทุนในโครงการต่าง ๆ เช่น การขยายกำลังการผลิต การซื้อเครื่องจักรใหม่ หรือการศึกษาวิจัยและพัฒนา เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการขยายตลาดได้ รวมถึงการความสามารถในการขยายกิจการได้เร็วขึ้น โดยไม่ต้องแบกรับต้นทุนดอกเบี้ยที่สูงเกินไป ซึ่งทำให้ภาคอุตสาหกรรมมีการขยายตัวเร็วขึ้นในระยะสั้น มีต้นทุนการผลิตลดลงส่งผลทำให้ราคาสินค้าหรือบริการมีราคาถูกลง และช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ และการกระตุ้นการใช้จ่ายของผู้บริโภคมากขึ้น เนื่องจากต้นทุนการกู้ยืมเงินเพื่อซื้อสิ่งของอุปโภคบริโภคต่าง ๆ ลดลง เช่น บ้าน และรถยนต์ ส่งผลต่อความต้องการจับจ่ายใช้สอยเงินในการซื้อสินค้าในภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น
คาดว่าMPI เดือนกุมภาพันธ์ จะปรับตัวเพิ่มขึ้น จากนโยบายภาครัฐการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ส่งผลให้เกิดการลงทุนเพิ่มขึ้น การขยายตัวของภาคอุตสาหกรรม การบริโภคที่ดีขึ้น รวมถึงจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่คาดว่าปีนี้จะสูงถึง 40 ล้านคน
“สศอ. ได้ประมาณการผลกระทบจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ ธปท. ในครั้งนี้ โดยคาดว่าจะส่งผลทำให้ GDP ภาคการผลิตในปี 2568 ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.1 เมื่อเทียบกับกรณีที่ ธปท. ไม่มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย นอกจากนี้ สศอ. ได้เดินหน้าปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมเพื่อช่วยพลิกฟื้นภาคอุตสาหกรรมไทยให้เป็นเครื่องยนต์สำคัญที่จะเพิ่มแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้มากขึ้น โดยตั้งเป้าให้ภาคอุตสาหกรรมมีส่วนผลักดัน GDP ของประเทศให้เติบโตขึ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 1” นายภาสกร กล่าว