ผู้จัดการรายวัน 360 - “น้ำปลาพิไชย” ดันแบรนด์ “หอยนางรม” เปิดศึกตลาดน้ำปลาหมื่นล้านบาท งัดแผนเชิงรุกลงทุนครั้งใหญ่รอบ 88 ปี ด้วยงบกว่า 200 ล้านบาท ทวงคืนสู่อันดับสาม
นายพันธ์ชนะ รัตนประสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท น้ำปลาพิไชย จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำปลาแท้ตราหอยนางรมผู้บริหาร generation รุ่นที่ 3 ของ "ตระกูลรัตนประสิทธิ์" เปิดเผยว่า ตลาดน้ำปลาในประเทศไทยมีมูลค่าราว 10,000ล้านบาทต่อปี โดยในแต่ละปีมีการเติบโตไม่มาก ทรงๆตัวไม่เกินปีละ 1-2% ซึ่งมีเจ้าตลาดใหญ่ๆไม่เกิน 10 ราย ที่เหลือจะเป็นรายเล็กๆที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ ซึ่งคนไทยมีการบริโภคน้ำปลาประมาณ 15 มิลลิลิตรต่อคนต่อวัน
โดยตลาดรวมแบ่งเป็น 3 กลุ่มคือ กลุ่มพรีเมียม มีสัดส่วนตลาดประมาณ 10% ในอดีต แต่ปัจจุบันเพิ่มเป็น 20% ซึ่งมาจากแบรนด์ระดับกลางที่ขยับขึ้นมาสู่พรีเมียมมากขึ้น ระดับราคา 30-50 บาทต่อขวดใหญ่ขนาด 700 มิลลิลิตร , กลุ่มระดับกลาง สัดส่วน 40% ระดับราคา 20 -30 บาทต่อขวด และระดับล่าง สัดส่วน 40% ราคาต่ำกว่า 20 บาทต่อขวด
ขณะที่บริษัทซึ่งมีแบรนด์หลักคือ หอยนางรม มีส่วนแบ่งการตลาดในประเทศราว 5-7% มียอดขายเติบโตขึ้นทุกปี โดยปี 2565 มียอดขาย 557.30ล้านบาท ปี2566 ยอดขาย 574.81ล้านบาท และล่าสุดปี2567มียอดขาย 601.40ล้านบาท ทั้งนี้ สัดส่วนรายได้ของบริษัท 25%มาจากต่างประเทศ อีก 75%มาจากในประเทศ
ในอดีตแบรนด์หอยนางรมของบริษัทเคยเป็นผู้นำตลาดพรีเมียม แต่ปัจจุบันมีแชร์น้อยลงแต่ยังเติบโตต่อเนื่อง โดยมีแบรนด์ ทิพย์รส เป็นผู้นำด้วยแชร์มากกว่า 40% อันดับสองและสามคือ ปลาหมึก กับ เมกะเชฟที่สลับกัน แชร์ประมาณ 18% ต่อราย อันดับสี่คือ เป๋าฮื้อ และอันดับห้าคือ หอยนางรม แชร์ประมาณ 5%-7%
ทั้งนี้ปี2568เป็นปีที่บริษัทครบ 88 ปี บริษัทจะทำธุรกิจเชิงรุกมากขึ้น ทั้งในแง่การตลาด การลงทุน การขยายธุรกิจ หลังจากที่ไม่ได้เน้นการทำตลาดมานานกว่า 20 ปี โดยตั้งเป้าหมายรายได้รวมประมาณ 1,000 ล้านบาทและกลับสู่อันดับที่สามในตลาดภายใน 3 ปีจากนี้ และมีแผนเข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยภายใน 3 ปีนี้เช่นกัน โดยปีนี้ใช้งบการลงทุนรวมมากกว่า100-200 ล้านบาท ซึ่งรวมงบการตลาดประมาณ 30 ล้านบาทด้วย ซึ่งมากที่สุดที่เคยทำมา
"การเติบโตของตลาดน้ำปลาในประเทศทรงตัว มีการเติบโตไม่มาก โดยตลอด 20 ปีที่ผ่านมา แบรนด์น้ำปลาแท้ตราหอยนางรม ไม่เคยทำการตลาด เราครองใจผู้บริโภคด้วยคุณภาพของผลิตภัณฑ์ แต่ปัจจุบันบริษัทจะเริ่มรุกทำการตลาด และทำแบรนด์มากขึ้น เพื่อขยายฐานลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดต่างประเทศ เราเห็นโอกาสในการเติบโตอย่างมาก เพราะที่ผ่านมา นอกจากการส่งออกในแบรนด์หอยนางรมแล้ว เรายังรับจ้างผลิตให้แบรนด์น้ำปลาในต่างประเทศด้วย" นายพันธ์ชนะ กล่าว
นอกจากนี้ ยังได้ขยายผลิตภัณฑ์ "น้ำปลาพริกหอยนางรม" และ "น้ำปลาพริกตราใส้ตัน" ซึ่งทำแบบซองเล็ก สำหรับร้านอาหารตามสั่งรวมทั้งอาหารปรุงสำเร็จที่ขายใน 7-11 ก็ใช้น้ำปลาพริกของเรา ขณะเดียวกันยังมีผลิตภัณฑ์ "น้ำจิ้มซีฟู๊ด"สำเร็จรูปอีกด้วย ซึ่งผลิตภัณฑ์ในส่วนนี้ ปีที่ผ่านมา ทำยอดขายได้ร่วม 100ล้านบาท
นางสาวพิมพ์ลภัทร เอกอัครินทร์ รองกรรมการผู้จัดการ กล่าวว่า บริษัทได้ลงทุนและพร้อมขยายกำลังการผลิตในทุกหน่วยธุรกิจ เพื่อรองรับการเติบโตใน 3 ปีข้างหน้านี้แล้ว ล่าสุดลงทุนสร้างอาคารผลิตน้ำปลาพริกที่ เป็น clean room ทั้งระบบ การลงทุนเครื่องจักรเพื่อผลิตน้ำจิ้มซีฟู้ด ขณะที่โรงงานผลิตน้ำปลาตราหอยนางรมที่แหลมฉบังจะลงทุนกว่า 150 ล้านบาท สร้างบ่ออีกกว่า 1,000 บ่อ ที่ใช้เทคโนโลยีเครื่องจักรสมัยใหม่ ถือเป็นโรงงานที่ได้รับมาตรฐานสูงสุด โดยการผลิตเป็นระบบปิด มีท่อส่งน้ำปลาออกมาจากบ่อน้ำปลา ก่อนมาเข้ากระบวนการผลิต ที่สะอาด ถูกสุขอนามัย โดยไม่ผ่านมือคนหรือมือมนุษย์ ดังนั้นขอให้มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของบริษัทผลิตภายใต้การควบคุมด้วยระบบการจัดการคุณภาพตามมาตรฐานสากล มีกำลังการผลิตเต็มที่ 30 ล้านลิตรต่อปีรวมย่ำปลา
“เรายังลงทุนเรื่องวิจัยและพัฒนาที่จะแยกออกมาต่างหาก และลงทุนเพิ่มห้องไลฟ์ ขายสินค้า เนื่องจากได้บุกตลาดออนไลน์อย่างเต็มตัว ตั้งเป้าหมายรายได้จากออนไลน์มากที่สุดในกลุ่มตลาดรวมน้ำปลา”
ปีนี้บริษัทจะออกสินค้าใหม่หลายรายการมากกว่าทุกปีที่ผ่านมาที่ออกเพียง 1-2 รายการเท่านั้น โดยตามแผนจะมีการวางตลาดสินค้าใหม่คือ กะปิ, ซอสหอยนางรม, ซอสพริก. น้ำจิ้มไก่ , น้ำปลาร้า เครื่องต้มยำ เป็นต้น รวมทั้งการเปิดแบรนด์ใหม่เป็นทางการคือ ทวีรส ที่จับตลาดกลางลงล่าง
บริษัทตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศเป็น 30-35% ภายใน 2-3 ปีนี้จากปัจจุบันอยู่ที่ 25%โดยจะเข้าไปทำการตลาด "แบรนด์หอยนางรม"ให้มากขึ้น เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม จากเดิมตลาดต่างประเทศ มาจากการส่งออกแบรนด์เราเอง50% อีก 50%เป็นการรับจ้างผลิตหรือ OEM และให้ลูกค้าไปติดแบรนด์เขา และจะมีการเจรจากับซัพพลายเออร์ผู้นำเข้าให้ขยายฐานลูกค้าใหม่ๆในตลาดต่างประเทศมากขึ้น