xs
xsm
sm
md
lg

การบินไทยเผยปี 67 กวาดรายได้ 1.87 แสนล้าน ออกจากแผนฟื้นฟู พ.ค.นี้ แจงลดพาร์ล้างขาดทุนกว่าแสนล้าน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

  • • ลดพาร์เหลือ 1.30 บาท/หุ้น เพื่อล้างขาดทุนสะสมกว่า 1 แสนล้านบาท
  • • คาดพ้นขั้นตอนฟื้นฟูกิจการ พฤษภาคม 2568 และกลับเข้าตลาดหลักทรัพย์ มิถุนายน 2568
  • • คาดการณ์ผลประกอบการไตรมาส 1/2568 เป็นบวก


การบินไทยเปิดผลดำเนินงาน 2567 กวาดรายได้ 1.87 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.7% แจงลดพาร์ เหลือ 1.30 บาท/หุ้น ล้างขาดทุนกว่า 1 แสนล้านบาท รอขั้นตอนสุดท้ายพ้นฟื้นฟู พ.ค.นี้ เข้าเทรดในตลาด มิ.ย. คาดไตรมาส1/68 เป็นบวก

นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ประธานคณะผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า มติที่ประชุมคณะผู้บริหารแผนเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2568 มีมติอนุมัติการลดมูลค่าที่ตราไว้ (Par Value) ของหุ้นของบริษัทฯ จากหุ้นละ 10 บาท เป็นหุ้นละ 1.30 บาท เพื่อชดเชยผลขาดทุนสะสมทางบัญชีของบริษัทฯ ให้ใกล้เคียงศูนย์มากที่สุด ซึ่งไม่มีผลต่อจำนวนหุ้น โดยจะทำให้ทุนจดทะเบียนและทุนชำระแล้วของบริษัทฯ ลดลงจากจำนวนประมาณ 283,033 ล้านบาท เป็นจำนวนประมาณ 36,794 ล้านบาท และทำให้ผลขาดทุนสะสมลดลงจาก 104,096 ล้านบาท เมื่อสิ้นปี 2567 เหลือ 180 ล้านบาท ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวไม่ได้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าหนี้หรือบริษัทฯ แต่อย่างใด และไม่ส่งผลกระทบต่อส่วนของผู้ถือหุ้นรวมในงบการเงินของบริษัทฯ อีกทั้ง ไม่มีผลกระทบต่อมูลค่าบริษัทหรือมูลค่าต่อหุ้น เนื่องจากมูลค่าต่อหุ้นไม่ได้ถูกกำหนดจากมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (Par Value)

ทั้งนี้การลดพาร์จะเปิดโอกาสให้บริษัท สามารถพิจารณาจ่ายเงินปันผลได้ในอนาคต และเป็นการเพิ่มความน่าสนใจของหุ้นให้แก่นักลงทุนภายหลังการกลับเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ หรือหากในอนาคตบริษัทฯ ต้องการที่จะระดมทุนเพิ่มเติมด้วยการออกหุ้นเพิ่มทุนก็จะสามารถดำเนินการได้โดยไม่ติดขัด ซึ่งก่อนเข้าฟื้นฟูกิจการ นโยบายการจ่ายเงินปันผลของบริษัทจะจ่ายไม่น้อยกว่า 25%ของกำไรสุทธิ

@ปี67 กวาดรายได้ 1.87 ล้านบาท สูงกว่าปี 62

สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัท สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2567 มีรายได้รวม (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) 187,989 ล้านบาท เพิ่มจากปี 2566 ที่มีรายได้ 161,067 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 16.7% และสูงกว่าปี 2562 กว่า 2% โดยมีผู้โดยสารรวมทั้งสิ้น 16.14 ล้านคน เพิ่มขึ้น 2.38 ล้านคนจากปี 2566 ประมาณ 17.3% แต่ยังต่ำกว่า ปี 2562 เนื่องจาก มีฝูงบินถึง 103 ลำ ขณะที่ปี 67 มี 79 ลำ ในขณะที่อัตราการบรรทุกผู้โดยสาร (Cabin Factor) ปรับตัวลดลงจาก 79.7% ในช่วงเดียวกันของปีก่อนเป็น 78.8% ซึ่งสาเหตุที่รายได้ปี 67 สูงกว่าปี 62 ทั้งๆที่จำนวนผู้โดยสารน้อยกว่าเพราะมีการปรับเพิ่มในส่วนของค่าโดยสาร ซึ่งเป็นไปตามดีมานด์ ซัพพลาย์ชองตลาด

ในขณะที่กำไรจากการดำเนินงานก่อนต้นทุนทางการเงิน (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) ปี 67 เท่ากับ 41,515 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.2% จาก ปี 2566 ที่มีกำไร 40,211 ล้านบาท และมี EBITDA ที่ 41,839 ล้านบาท โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อัตรากำไรจากการดำเนินงานก่อนต้นทุนทางการเงิน (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) (EBIT Margin) สำหรับปี 2567 อยู่ที่ 22.1% ซึ่งดีกว่าประมาณการตามแผนฟื้นฟูกิจการ

ทั้งนี้ ตามงบการเงินรวมสำหรับปี 2567 การบินไทยมีผลขาดทุน 26,901 ล้านบาท เกิดจากผลขาดทุนทางบัญชีที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวจากการแปลงหนี้เป็นทุนตามแผนฟื้นฟูกิจการจำนวน 45,271 ล้านบาท ที่บริษัทฯ ดำเนินการเสร็จเรียบร้อยแล้วในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2567 ที่ผ่านมา โดยผลขาดทุนทางบัญชีส่วนใหญ่ประมาณ 40,582 ล้านบาท เกิดจากการใช้สิทธิแปลงหนี้เป็นทุนของเจ้าหนี้ที่ราคาตามแผนฟื้นฟูกิจการซึ่งต่ำกว่ามูลค่ายุติธรรม และส่วนที่เหลือมาจากการแปลงหนี้เป็นทุนของเจ้าหนี้ที่ได้รับการชำระหนี้ที่เร็วกว่ากำหนดที่ระบุไว้ในแผนฟื้นฟูกิจการ

อย่างไรก็ดี รายการดังกล่าวเป็นผลขาดทุนทางบัญชีซึ่งเป็นรายการที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวที่ไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ และไม่ได้ส่งผลต่อการออกจากการฟื้นฟูกิจการ เนื่องจากส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ภายหลังการปรับโครงสร้างทุนยังคงเป็นบวก ที่ 45,589 ล้านบาท

นายปิยสวัสดิ์กล่าวว่า ตามเงื่อนไขในการออกจากแผนฟื้นฟูกิจการได้ดำเนินการสำเร็จคือ มีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายจากการดำเนินงาน หลังหักเงินสดจ่ายหนี้สินตามสัญญาเช่าเครื่องบิน (EBITDA – Aircraft Cash Lease) ตามงบการเงินเฉพาะกิจการสำหรับงวด 12 เดือนย้อนหลังไม่น้อยกว่า 20,000 ล้านบาท ซึ่ง ณ สิ้นปี 2567 เท่ากับ 41,473 ล้านบาท สำเร็จ ตามเงื่อนไข

และส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ตามงบเฉพาะกิจการกลับมาเป็นบวกที่ 45,495 ล้านบาท จากที่เคยติดลบ 43,352 ล้านบาทในปี 2566 หลักๆ เกิดมาจากกำไรจากการดำเนินงานในระหว่างปี และผลจากการปรับโครงสร้างทุนภายใต้แผนฟื้นฟูกิจการ และยังส่งผลให้เหตุแห่งการเพิกถอนหุ้นตามนิยามของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยหมดไป


@ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นเลือกบอร์ดใหม่ 18 เม.ย. 2568

นานปิยสวัสดิ์กล่าวว่า ข้อสุดท้าย การดำเนินการตามแผนฟื้นฟูกิจการ
คือการมีคณะกรรมการใหม่ ซึ่งที่ประชุมคณะผู้บริหารแผนดำเนินการเพื่อบรรลุเงื่อนไขผลสำเร็จของแผนฟื้นฟูกิจการข้อสุดท้าย โดยได้มีมติเรียกประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นซึ่งจะจัดขึ้นตามข้อกำหนดของแผนฟื้นฟูกิจการในวันศุกร์ที่ 18 เมษายน 2568 และกำหนดวันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิเข้าร่วมประชุมและออกเสียงในที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น (Record Date) เป็นวันศุกร์ที่ 14 มีนาคม 2568 เพื่อพิจารณาอนุมัติกำหนดจำนวนกรรมการบริษัท จำนวน 11 ท่านหรือ 12 ท่าน ซึ่งประกอบด้วยกรรมการในปัจจุบันจำนวน 3 ท่าน ได้แก่ นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ นายชาญศิลป์ ตรีนุชกร และพลอากาศเอก อำนาจ จีระมณีมัย และกรรมการเข้าใหม่จำนวน 8 ท่านหรือ 9 ท่าน (ตามแต่จำนวนกรรมการที่ที่ประชุมผู้ถือหุ้นลงมติอนุมัติ) โดยรายนามกรรมการเข้าใหม่ที่เสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อพิจารณาเลือกตั้งประกอบด้วยกรรมการจำนวน 6 ท่าน

ได้แก่ นายลวรณ แสงสนิท ดร. กุลยา ตันติเตมิท นายชาครีย์ บำรุงวงศ์ พลตำรวจเอก ธัชชัย ปิตะนีละบุตร นายชาติชาย โรจน์รัตนางกูร และนายชาย เอี่ยมศิริ และกรรมการอิสระจำนวน 3 ท่าน ได้แก่ นายณปกรณ์ ธนสุวรรณเกษม นายยรรยง เดชภิรัตนมงคล และนายสัมฤทธิ์ สำเนียง

ทั้งนี้ ภายหลังจากบริษัทฯ ได้รับมติอนุมัติจากที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นแล้ว และได้รับอนุญาตจากศาลล้มละลายกลางแล้ว บริษัทฯ จะดำเนินการจดทะเบียนการเปลี่ยนแปลงจำนวนกรรมการ และการแต่งตั้งจดทะเบียนกรรมการใหม่ ก่อนที่จะดำเนินการยื่นคำร้องต่อศาลล้มละลายกลางเพื่อขอยกเลิกการฟื้นฟูกิจการต่อไป


@ จ่อออกจากแผนฟื้นฟู พ.ค.เข้าเทรดใน มิ.ย.

นายปิยสวัสดิ์กล่าวว่า เชื่อว่าการดำเนินการต่าง ๆ จะทำให้ผลประกอบการไตรมาสที่ 1 ปี 2568 จะมีกำไรสะสม และเป็นการเปิดโอกาสให้บริษัทฯ สามารถพิจารณาจ่ายเงินปันผลในอนาคตให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ รวมถึงเจ้าหนี้จากการแปลงหนี้เป็นทุน และเป็นการเพิ่มความน่าสนใจของหุ้นให้แก่นักลงทุนภายหลังการกลับเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ หรือหากในอนาคต บริษัทฯ ต้องการที่จะระดมทุนเพิ่มเติมโดยการออกหุ้นเพิ่มทุนเพื่อนำมาใช้ในการประกอบกิจการหรือชำระหนี้ตามแผนฟื้นฟูกิจการ บริษัทฯ ก็สามารถดำเนินการได้โดยไม่ติดขัดเรื่องผลขาดทุนสะสมซึ่งเป็นเพียงตัวเลขทางบัญชีอีกต่อไป

“ตามแผนงานการกลับเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ภายในเดือนมี.ค. 68 จะยื่นต่อศาลเพื่อขอจดทะเบียนลดทุนโดยการลดมูลค่าที่ตราไว้กับ กระทรวงพาณิชย์ ,ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นเลือกบอร์ดใหม่ 18 เม.ย. 68,
ก่อนที่จะดำเนินการยื่นคำร้องต่อศาลล้มละลายกลางเพื่อขอยกเลิกการฟื้นฟูกิจการในเดือนเม.ย. 2568 และคาดว่าศาลจะอนุมัติการยกเลิกฟื้นฟูกิจการในเดือนพ.ค.68 ซึ่งหน้าที่ของผู้บริหารแผนจะหมดลง กรรมการบริษัท จะเข้ามาดูแลแทน และดำเนินการยื่นต่อตลาดหลักทรัพย์เพื่อนำหุ้นการบินไทยเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์อีกครั้งภายในเดือนมิ.ย. 68 ซึ่งมั่นใจว่า ความสามารถในการแข่งขันของบริษัทเพิ่มขึ้น ต้นทุนและค่าใช้จ่ายลดลง จะสามารถรักษาระดับ RBITDA ได้ และแนวโน้มการดำเนินธุรกิจปี 68 ยังเป็นไปในทิศทางดี ”

@มั่นใจปี 68 เติบโตต่อเนื่อง

ด้าน นายชาย เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทการบินไทย กล่าวว่า ในปี 68 บริษัทจะมีเครื่องบินเข้ามาเพิ่ม 9 ลำ ตั้งแต่ปลายไตรมาส 2/68 จะทำให้บริษัทมีกำลังผลิตใหม่ (New Production) เพิ่มขึ้น 2% โดยเครื่องบินใหม่ ได้แก่ แอร์บัส A330 จำนวน 7 ลำ แอร์บัส A321 จำนวน 1 ลำ และ แอร์บัสA330-300 จำนวน 1 ลำ ทำให้สิ้นปี 68 จะมีฝูงบิน 87 ลำ โดยจะทยอยรับมอบปลายไตรมาส 3 ทั้งนี้ การส่งมอบล่าช้าจากกำหนดไปบ้าง แต่จะทำให้เพิ่มผลิตภัณฑ์ ประมาณ 2% ซึ่งจะนำมาเพิ่มความถี่ ในเส้นทางที่จะเพื่อหารายได้เพิ่มเพื่อนำไปชำระหนี้ตามแผนฟื้นฟู

บริษัท ยังมีภาระหนี้ตามแผนฟื้นฟู จำนวน 87,000 ล้านบาท โดย
หลังออกจากแผนฟื้นฟู จะต้องกำหนดชำระไปถึงปี 2579 ซึ่งเฉลี่ยปีละ 10,000 ล้านบาท ขณะที่มีภาระค่าเช่าเครื่องบินอีกประมาณ 90,000 ล้านบาทหรือเฉลี่ยเดือนละ 1,500 ล้านบาท (ปีละ18,000 ล้านบาท)

คาดว่ารายได้รวมในปี 68 จะเติบโตจากปี 67 ที่มี Cabin Factor 85%
และมั่นใจว่า ในปี 68 จะสามารถรักษาระดับ EBITDA ที่ทำไว้ในปี 67 และ 66 ที่ 41,839 ล้านบาท และ 42,875 ล้านบาท ตามลำดับ ส่วน EBITDA Mergin ปี 67 อยู่ที่ 22% จากปี 66 ที่ 23% ด้วยการเพิ่มสัดส่วนการขายตั๋วโดยสารแบบ Network มากขึ้นเป็น 40% ส่วนการขายแบบ Point to Point จะอยู่ที่ 60% ไตรมาส 1/68 เห็นแนวโน้มผลประกอบการดีขึ้น โดย Cabin Factor ในเดือน ม.ค. -ก.พ. ดีกว่าปีที่ผ่านมาอยู่ระดับ 85%


นายชาย ยอมรับว่า ปีนี้ยังมีความเสี่ยงที่ภาพรวมธุรกิจการบินในช่วง 68-70 มีปัญหาด้านซัพพลาย โดยอุตสาหกรรมการบินยังมีเครื่องบินใหม่เข้ามาจำกัด รวมถึงชิ้นส่วนอะไหล่เครื่องบิน แต่ไม่กังวลเรื่องการแข่งขัน เพราะทุกสายการบินได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน ส่วนปัจจัยราคาน้ำมัน บริษัทยังจัดการได้ดี ซึ่งปัจจุบันคณะผู้บริหารแผนให้เพิ่มการทำประกันความเสี่ยงราคาน้ำมัน และอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งนโยบายสหรัฐอาจมีผลกระทบค่าเงินบ้าง โดยต้นทุนหลักของการบินไทย 40% เป็นน้ำมัน

ส่วนจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลงไปมาก เมื่อเทียบกับช่วงก่อนโควิดนั้น บริษัทหันเน้นขยายตลาดอินเดียและปากีสถาน ซึ่งอินเดีย มีจุดบิน 10 เมือง โดยเตรียมเพิ่มเที่ยวบินมุมไบจาก 11 เที่ยวบิน/สัปดาห์เป็น 14 เที่ยวบิน/สัปดาห์ ส่วนจุดบินในจีนปัจจุบันเหลือ 5 เมือง 35 เที่ยวบิน/สัปดาห์ จากเดิม 8 เมือง 70 เที่ยวบิน/สัปดาห์ ทำให้รายได้จากเส้นทางจีนมีสัดส่วนลดลงเหลือ 2-3% ขณะที่เส้นทางยุโรป และออสเตรเลียมีสัดส่วนรายได้มากสุด และเตรียมเพิ่มเที่ยวบิน มิวนิค ประเทศเยอรมันด้วย

โดยตารางบินฤดูหนาว ประจำปี 2568 ของบริษัทฯ วางแผนทำการบินไปยัง 64 จุดบินเช่นเดียวกับในปี 2567 แต่มีจำนวนเที่ยวบินทั้งหมด 883 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ เพิ่มขึ้น 40 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ จากปี 2567 ที่มี 843 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ เพื่อรองรับการเดินทางของผู้โดยสารในเส้นทางบินยอดนิยม รวมถึงรองรับการเดินทางที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ บริษัทเตรียมขายเครื่องบินเก่า ได้แก่ เครื่องบินโบอิ้ง 777-300 จำนวน 6 ลำ และ โบอิ้ง 777-200 ER ที่จะปลดระวางอีก 3 ลำ

@เตรียม MOU ร่วมทุน BA ลุย MRO อู่ตะเภา

นายชาย กล่าวว่า ในเร็วๆนี้ การบินไทยเตรียมเซ็น MOU กับ บมจ.กรุงเทพการบิน (BA) เพื่อร่วมศึกษาและร่วมลงทุนโครงการศูนย์ซ่อมอากาศยาน (MRO) ที่สนามบินอู่ตะเภา มูลค่าโครงการ 1 หมื่นล้านบาท โดยทาง EEC จะเปิดให้ผู้ประกอบการไทยยื่นข้อเสนอโครงการ MRO ทั้งนี้มีโอกาสที่การบินไทย จะถือหุ้นมากกว่า เพราะมีการศึกษาโครงการมาแล้ว และประสบการณ์สูงและมีฝูงบินของตัวเองเป็นจำนวนมาก


กำลังโหลดความคิดเห็น