- • แบรนด์จีนรายใหญ่เข้ามาลงทุนในไทยอย่างมาก
- • ไทยกลายเป็นฐานการผลิตหลักของแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าจีนหลายแบรนด์
- • บริษัทจีนทุ่มงบประมาณจำนวนมากในตลาดไทย
การตลาด - ศึกเครื่องใช้ไฟฟ้าปีนี้ส่งสัญญาณแข่งเดือดกันตั้งแต่ต้นปี มากกว่าการแข่งขัน คือ ความเชื่อมั่นในศักยภาพของประเทศไทย โดยเฉพาะกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าแบรนด์ยักษ์ใหญ่จากแดนมังกร ต่างตีธงลั่นกลองลบ ร่วมตบเท้าอัดเม็ดเงินรวมนับหลายหมื่นล้าน เพื่อลงทุนในไทย หวังเป็นฮับการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าสู่ตลาดโลก ต่อยอดความสำเร็จในฐานะโกลบอลแบรนด์อย่างแท้จริง
ช่วงสิบกว่าปีมานี้ ภาพลักษณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าแบรนด์จีนดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะกับคนไทยที่มีภาพจำว่า เครื่องใช้ไฟฟ้าแบรนด์จีนจะมีราคาถูกและคุณภาพก็จะถูกตามไปด้วย แต่เผลอแป๊บเดียว ในวันนี้เครื่องใช้ไฟฟ้าแบรนด์จีนได้ก้าวขึ้นมาเป็นโกลบอลแบรนด์แล้วหลายแบรนด์ ใครกันจะเชื่อว่าปัจจุบันเครื่องใช้ไฟฟ้าแบรนด์จีนจะเบียดแบรนด์เกาหลีขึ้นมาได้ จากความยิ่งใหญ่ของแบรนด์เกาหลีที่ครั้งหนึ่งได้เขี่ยแบรนด์ญี่ปุ่นจนล่วงหล่นลงมาแล้วเช่นกัน
ความสำเร็จของเครื่องใช้ไฟฟ้าแบรนด์จีน ที่ลบภาพจำ จาก “แบรนด์จีนสู่โกลบอลแบรนด์” นั้น ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย แต่ได้มาเพราะกลศึกที่ชาญฉลาด เลือกที่จะตีโจทย์ใหญ่จนแตกพ่าย พลิกตำราสู้เพื่อข้ามกำแพงนี้ออกไป ด้วยการทุ่มเงินลงทุนจำนวนมหาศาลเพื่อเข้าซื้อหรือควบรวมกิจการยักษ์ใหญ่เครื่องใช้ไฟฟ้าระดับโลกมันซะเลย บวกกับเทคโนโลยีที่จีนเองก็ถือเป็นหนึ่งไม่สองรองใคร ความสำเร็จเพื่อไปสู่โกลบอลแบรนด์จึงใช้เวลาไม่นานอย่างแบรนด์อื่นๆ ที่สะสมและทำกันมา
เมื่อคว้าชัยในความเป็นโกลบอลแบรนด์แล้ว นั่นถือเป็นความสำเร็จส่วนหนึ่ง แต่การเป็นที่หนึ่งในใจของผู้บริโภคอย่างแท้จริง จะเป็นบทพิสูจน์ว่า เครื่องใช้ไฟฟ้าแบรนด์จีน ประสบความสำเร็จในฐานะโกลบอลแบรนด์อย่างแท้จริง ส่งผลให้ช่วงเวลานี้เครื่องใช้ไฟฟ้าแบรนด์จีนหลายๆ แบรนด์จึงเร่งทำคะแนน สร้างการรับรู้ สร้างความน่าเชื่อถือ และสร้างคุณภาพสินค้าให้ผู้บริโภคสัมผัสและเลือกซื้อมากที่สุด ดังนั้นในปี 2568 นี้ จึงเป็นอีกปีที่เครื่องใช้ไฟฟ้าแบรนด์จีนหลายๆ แบรนด์ พร้อมทุ่มงบลงทุนสู่การขยายตลาดให้ได้มากที่สุด โดยประเทศไทยเป็นตัวเลือกหลักที่เข้าตา หรือเฉพาะปีนี้คาดว่า ประเทศไทยจะดึงดูดเม็ดเงินการลงทุนจากเครื่องใช้ไฟฟ้าแบรนด์จีนได้หลายหมื่นล้านบาทเลยทีเดียว
ไฮเออร์อัดหมื่นล. ผุดโรงงานเพิ่ม
ไฮเออร์เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าแบรนด์จีนที่ประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องทั้งในไทยและระดับโลก หลังจากในปี 1985 ที่ Zhang Ruimin ในฐานะกรรมการผู้จัดการ ได้สั่งให้พนักงานของเขาทําลายตู้เย็น 76 เครื่องด้วยค้อนทุบตามคําร้องเรียนของลูกค้า เหตุการณ์ครั้งนั้นถือเป็นความพยายามที่ต้องการเปลี่ยนแปลงอย่างสำคัญ เพื่อเปลี่ยนภาพลักษณ์สินค้าแบรนด์จีนที่ผลิตในประเทศว่าเป็นสินค้าคุณภาพไม่ดีจากสายตาของคนทั่วไปจากต่างประเทศ เมื่อเปรียบเทียบกับแบรนด์ต่างประเทศที่ผลิตในจีนเหมือนกันและกลับมีคุณภาพดีกว่า การเปลี่ยนแปลงของไฮเออร์ครั้งนั้นนำไปสู่การผลิตที่ขับเคลื่อนด้วยคุณภาพเช่นเดียวกับแบรนด์ต่างประเทศที่ผลิตในจีน
โดยไฮเออร์กลายเป็นบริษัทแรกในประเทศจีนที่ได้รับการรับรอง มาตรฐาน ISO 9001 ส่งผลให้ไฮเออร์เป็นแบรนด์อันดับหนึ่งของโลกในกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้ารายใหญ่เป็นเวลา 10 ปีติดต่อกันตั้งแต่ปี 2009 ถึง 2018 และปัจจุบันมีแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าในเครือได้แก่ แบรนด์ Haier, Casarte, Leader, GE Appliances, Fisher & Paykel, Aqua และ Candy
ทั้งนี้ไฮเออร์ยังพร้อมสยายปีกอย่างต่อเนื่อง กับการลงทุนสร้างฐานการผลิตให้มากขึ้น ตอกย้ำความเป็นโกลบอลแบรนด์อย่างแข็งแกร่ง และตอบโจทย์ผู้บริโภคได้อย่างแท้จริง ล่าสุดเตรียมทุ่มงบอีก 10,000 ล้านบาท เพื่อลงทุนในไทย ผุดโรงงานแห่งใหม่ และอีกหลายแห่งในอนาคต
นายต่ง เจี้ยนผิง ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไฮเออร์ อีเลคทริคอล แอพพลายแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ไฮเออร์ถือเป็นโกลบอลแบรนด์สัญชาติจีน ซึ่งมีแบรนด์และธุรกิจอื่นๆ อีกหลายตัวที่ทำตลาดอยู่ทั่วโลก ขณะที่ในไทยไฮเออร์ยังมีภาพลักษณ์เป็นเพียงแบรนด์จีนอยู่ ปีนี้จึงต้องการโฟกัสและสร้างการรับรู้ถึงความเป็นโกลบอลแบรนด์ของไฮเออร์สู่ผู้บริโภคคนไทยมากขึ้น เพราะไทยถือเป็นตลาดสำคัญของไฮเออร์ทั้งด้านยอดขายและฐานการผลิต
ดังนั้นทางเฮดควอเตอร์จึงมั่นใจและมีนโยบายพร้อมลงทุนสร้างฐานการผลิตเพิ่มในไทยทั้งในปีนี้และปีต่อๆ ไปอีกหลายแห่ง โดยแผนลงทุนโรงงานแห่งใหม่นั้น จะรองรับกำลังการผลิตตู้เย็น เครื่องซักผ้า แอร์เชิงพานิชย์ และเครื่องทำน้ำอุ่น เป็นต้น ซึ่งอยู่ในขั้นตอนการวางแผนและการเจรจากับทางภาครัฐ โดยมีไทม์ไลน์หาข้อสรุปภายในเดือนเม.ย นี้ และจะเริ่มดำเนินการได้ในเดือนก.ย.ที่จะถึงนี้ คาดว่าจะใช้เงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท
จากปัจจุบันไฮเออร์มีฐานการผลิตในไทยอยู่แล้ว 2 แห่ง คือ 1. ปราจีนบุรี เป็นฐานกำลังการผลิต ตู้เย็นและเครื่องซักผ้า และ 2.ชลบุรี เป็นฐานการผลิตแอร์ ที่จะแล้วเสร็จในปลายปีนี้ สามารถรองรับกำลังผลิตแอร์ได้สูงสุดถึง 6 ล้านเครื่องต่อปี
อย่างไรก็ตามนอกจากแผนลงทุนด้านการผลิตแล้ว ในส่วนของการทำตลาดนั้น ปีนี้ไฮเออร์จะเน้นใน 2 ส่วนสำคัญ คือ 1.แบรนด์ดิ้งมาร์เก็ตติ้ง เชิงรุกมุ่งสร้างแบรนด์ดิ้งของไฮเออร์ โดยกลางปีนี้จะเปิดตัวพรีเซนเตอร์คนใหม่เข้ามาเสริมทัพเพื่อสร้างภาพลักษณ์แบรนด์ใหม่ เพื่อสื่อถึงความเป็นโกลบอลแบรนด์ของไฮเออร์ และ2.การทำสปอร์ตมาร์เก็ตติ้ง อาทิ การเป็นสปอนเซอร์การแข่งขันเทนนิส Australian Open 2025 และ French Open 2025, การแข่งขันแบดมินตัน Thailand Master 2025 และThailand Open 2025, กิจกรรมวิ่งมินิมาราธอน รวมถึงกิจกรรม CSR ต่างๆ ตลอดทั้งปี
โดยในปีนี้บริษัทพร้อมใช้งบการตลาดกว่า 1,200 ล้านบาท รองรับแผนการตลาด ทั้ง 1.กลยุทธ์สร้างการเติบโตในช่องทางสโตร์ ลูกค้าที่เข้ามาในสโตร์จะต้องรู้จักแบรนด์ไฮเออร์มากขึ้น จะเพิ่มพนักงานขายและทักษะความรู้ในการให้ข้อมูลแก่ลูกค้ามากขึ้น ขยายทุกช่องทางการจัดจำหน่ายให้ครอบคลุมมากว่าเดิม ตั้งเป้าสัดส่วนช่องทางโมเดิร์นเทรดเพิ่มขึ้น 35% ช่องทางตัวแทนผู้จัดจำหน่ายดีลเลอร์เพิ่มขึ้น 15% ช่องทางอีคอมเมิร์ซเพิ่มขึ้น 35% และช่องทาง B2B เพิ่มขึ้น 15%
2.กลยุทธ์การเปิดตัวเครื่องใช้ไฟฟ้ารุ่นใหม่ 7 หมวด รวมกว่า 50 รุ่น ครอบคลุมเครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายทุกเซกเมนต์ ได้แก่ สินค้าเครื่องปรับอากาศภายในบ้าน, เครื่องปรับอากาศเชิงพาณิชย์, ตู้เย็น เครื่องซักผ้า, ตู้แช่,ทีวี และเครื่องทำน้ำอุ่น มั่นใจว่าถึงสิ้นปีจะมียอดขายถึง 14,000 ล้านบาท โต 26-28%
“ผลิตภัณฑ์ใหม่ปีนี้จะเน้นความเป็นไฮเอนด์ และชูความโดดเด่นทางด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี AI ที่ทันสมัยเพื่อตอบโจทย์โซลูชันในทุกไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้งานให้สมาร์ทมากยิ่งขึ้น มั่นใจว่าจะทำให้ปีนี้ไฮเออร์จะมียอดขายเติบโตได้ไม่ต่ำกว่า 25% หรือมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 14,000 ล้านบาท มาจาก 1.แอร์ 6,000 ล้านบาท โต 20% 2.ตู้เย็น 2,000 ล้านบาท โต 28% 3.เครื่องซักผ้า 1,200 ล้านบาท โต 30% 4.ทีวี 1,000 ล้านบาท โต 58% 5.เครื่องทำน้ำอุ่น 215 ล้านบาท โต 94% และ6.B2B 2,000 ล้านบาท โต 2 เท่าจากปี 67 ขณะที่ตลาดรวมเครื่องใช้ไฟฟ้า คาดการณ์ว่าจะมีมูลค่าราว 70,000 ล้านบาท โตได้ไม่เกิน 5%“ นายต่ง เจี้ยนผิง กล่าว
ไมเดีย ปักหมุดไทยฮับการผลิตและส่งออก
ไมเดีย กรุ๊ป เป็นอีกหนึ่งแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าจีนที่ปัจจุบันเป็นผู้นำระดับโลกด้านเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านและโซลูชันสมาร์ทโฮม โดยมีแบรนด์ในเครืออย่าง ไมเดีย, โตชิบา และคอมฟี เป็นต้น ล่าสุดปีนี้ไมเดียพร้อมรุกตลาดเอเชียแปซิฟิก โดยพร้อมปักหมุดประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านการผลิต การขาย และการกระจายสินค้า หนุนเป้าหมายในการก้าวขึ้นเป็นผู้นำอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านของภูมิภาคนี้ในอีก 3 ปี
นายซีล เจียง ประธาน ไมเดีย กรุ๊ป ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า ประเทศไทยได้ก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางการผลิตในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งไมเดียได้มีส่วนสนับสนุนเศรษฐกิจของประเทศ ผ่านการสร้างงานและความร่วมมือกับพันธมิตรในประเทศไทย ปัจจุบันมีโรงงานผลิตในประเทศไทยจำนวน 7 แห่ง ครอบคลุมการผลิตสินค้าหลากหลายประเภท ตั้งแต่เครื่องปรับอากาศสำหรับที่พักอาศัย เครื่องซักผ้า ตู้เย็น เครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก เตาไมโครเวฟ และเครื่องทำความสะอาด ไปจนถึงเทคโนโลยีระบบอาคาร เทคโนโลยีระบบอุตสาหกรรม และชิ้นส่วนคอมเพรสเซอร์สำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้า โดยมีพนักงานกว่า 10,000 คน ไมเดียจึงมีรากฐานที่มั่นคงในอุตสาหกรรมการผลิตของประเทศไทย
“ปีนี้ไมเดียมีแผนที่จะขยายการดำเนินงานเพิ่มเติม เพื่อตั้งเป้าที่จะเพิ่มจำนวนพนักงานและเพิ่มกำลังการผลิตให้สูงขึ้น ในขณะที่ประเทศไทยมีสภาพแวดล้อมทางด้านการเมืองที่มั่นคง มีเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง และสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เอื้อต่อการลงทุน ทำให้ประเทศเป็นที่หมายสำคัญสำหรับการลงทุนในระยะยาว ซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของไมเดียในการเป็นผู้นำตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก” นายซีล เจียง กล่าว
สำหรับแผนการขยายธุรกิจของไมเดีย กรุ๊ปนั้น จะมุ่งเน้นที่การยกระดับคุณภาพการผลิต เสริมสร้างเครือข่ายการกระจายสินค้า และพัฒนาปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน ให้มีความพร้อมที่สามารถตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ความพยายามเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะช่วยส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยอย่างมีนัยสำคัญ แต่ยังช่วยผลักดันความทะเยอทะยานในการเติบโตระดับภูมิภาคของไมเดียอีกด้วย
เพื่อสนับสนุนวิสัยทัศน์ดังกล่าว เมื่อช่วงไตรมาส 4 ปี 2567 ไมเดียได้ทำการเปิดศูนย์กระจายสินค้าประจำภูมิภาค (Regional Distribution Centre - RDC) ที่มีพื้นที่จัดเก็บสินค้ารวม 1,000 ตารางเมตร ขึ้นในกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นตำแหน่งยุทธศาสตร์ที่สามารถให้บริการได้ทั้งตลาดในประเทศและทั่วภูมิภาคเอเชียเอเชียแปซิฟิก ศูนย์ดังกล่าวจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการกระจายสินค้าได้อย่างมาก เพราะช่วยลดระยะเวลาการจัดส่งสินค้าไปทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จาก 60 วัน เหลือเพียง 45 วัน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของห่วงโซ่อุปทาน และยังช่วยเพิ่มความพึงพอใจให้กับลูกค้า
นอกจากนี้ไมเดียยังได้เปิดสำนักงานประจำภูมิภาคแห่งใหม่ในประเทศไทย เพื่อส่งเสริมการดำเนินงานของสำนักงานที่ประเทศสิงคโปร์ โครงสร้างแบบสำนักงานคู่เช่นนี้ถูกออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานเพื่อรองรับตลาดทั้งเอเชียแปซิฟิก โดยประเทศไทยจะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในด้านการผลิตและกระจายสินค้า พร้อมกับขับเคลื่อนการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพร่วมกันระหว่างสองสำนักงาน เพื่อสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ด้านนายธนวัฒน์ วงศ์ชาญวุฒิ ผู้ช่วยผู้จัดการทั่วไป บริษัท เอ็มดี คอนซูเมอร์ แอพพลายแอนซ์ (ประเทศไทย) แบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้า ไมเดีย (Midea) กล่าวเสริมว่า ปี 2567 ที่ผ่านมา ไมเดียมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด ด้วยยอดขายในไทยที่เพิ่มขึ้นถึง 237.5% จากความสำเร็จที่เกิดขึ้น ไมเดียพร้อมเดินหน้ากำลังการผลิตตู้เย็นในปีนี้เต็มกำลัง หลังปีที่ผ่านมาได้ขยายการลงทุนในประเทศไทย กับการเปิดโรงงานผลิตแห่งใหม่ ของ Midea Building Technologies บนพื้นที่ 46 ไร่ มูลค่าการลงทุนรวมประมาณ 2,260 ล้านบาท ที่นิคมอุตสาหกรรม CPGC จังหวัดระยอง ในเขตเศรษฐกิจ EEC
“ปีนี้ไมเดียมีแผนขยายไลน์สินค้าให้ครอบคลุมทุกความต้องการ หลังจากลงทุนโรงงานผลิตแห่งใหม่ และพร้อมยกระดับบริการหลังการขายด้วยการรับประกัน 5 ปีเต็มรูปแบบ พร้อมบริการภายใน 24 ชั่วโมง รวมถึงการใช้สื่อประชาสัมพันธ์ ทั้งออฟไลน์และออนไลน์ และสื่ออื่นๆ พร้อมเป็นผู้สนับสนุนระดับโลกของสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 รวมถึงการร่วมงานกับ บัวขาว บัญชาเมฆ เป็นพรีเซ็นเตอร์เครื่องปรับอากาศไมเดีย ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 เพื่อตอกย้ำภาพลักษณ์ความแกร่งและความทนทานของไมเดีย ภายใต้งบการตลาดที่มากกว่าปีที่แล้วอีกเท่าตัว มั่นใจว่าด้วยความพร้อมในทุกด้านและการสนับสนุนจากพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง จะผลักดันให้ไมเดียก้าวขึ้นสู่ Top 3 แบรนด์ชั้นนำในตลาดเครื่องปรับอากาศไทย ด้วยยอดขายเครื่องปรับอากาศที่โตขึ้นอีก 200%" นายธนวัฒน์ กล่าว
ทีซีแอล เตรียมทุ่ม 5 แสนล. ผุดฐานผลิตใหม่
ทีซีแอล เป็นอีกหนึ่งเครื่องใช้ไฟฟ้าแบรนด์จีนที่ท็อปฟอร์มขึ้นสู่ระดับโลกในเวลาเพียงไม่นาน หลังจากปี 2018 ที่ทีซีแอลได้ขยายการเติบโตสู่ตลาดโลก ด้วยการก่อสร้างนิคมอุตสาหกรรมครบวงจรนอกประเทศแห่งแรก ในเมืองทิรูปาตี ประเทศอินเดีย และล่าสุดในปีนี้พร้อมขยับตัวครั้งใหญ่อีกครั้ง เตรียมหอบเม็ดเงินมูลค่ากว่า 5 แสนล้านบาท ขยายอาณาจักรให้แข็งแกร่งมากกว่าเดิม เล็งปักหมุดหมายไว้ที่อาเซียนเป็นหลัก เพื่อทำการขายและส่งออกไปสหรัฐ แน่นอนว่าไทยมีลุ้นสูงที่จะเป็นตัวเลือกลำดับต้นๆ กับเค้กก้อนนี้ที่จะได้ไปครอง
นายแกรี่ จ้าว กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทีซีแอล อิเล็กทรอนิกส์ (ไทยแลนด์) จำกัด เปิดเผยว่า ประเทศไทยยังคงเป็นตลาดหลักสำคัญในสายตาของบริษัทแม่ทีซีแอลที่จีน ด้วยมูลค่าตลาดรวมเครื่องใช้ไฟฟ้ามากกว่า 85,000 ล้านบาท เนื่องจากตลาดไทยให้การตอบรับที่ดี และบริษัทแม่เองก็มีแผนที่จะลงทุนในไทยต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามนโยบายและรายละเอียดต้องเป็นทางสำนักงานใหญ่วางแผนและตัดสินใจ ส่วนบริษัทมีหน้าที่เพียงการบริหารการจัดการการตลาดเท่านั้น
“ปีนี้บริษัทแม่ทีซีแอลที่จีน มีแผนพิจารณาการลงทุนสร้างโรงงานแห่งใหม่ในต่างประเทศเพิ่มเติม เพื่อขยายฐานการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า ทั้ง ทีวี ตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ เครื่องซักผ้า และแผงโซลลาร์เซลล์ รองรับการทำตลาดในอาเซียนและส่งออกไปสหรัฐ เบื้องต้นคาดว่าจะใช้เม็ดเงินลงทุนสูงถึง 5 แสนล้านบาท อยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะลงทุนในประเทศใด โดยไทยเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่น่าสนใจเช่นกัน แต่ทั้งหมดอยู่ระหว่างการศึกษาแผนลงทุนระยะยาว ทั้งนี้หากประเมินประเทศไทยแล้วพบว่า ไทยมีศักยภาพสูงในการดึงดูดการลงทุน จากทั้งโครงสร้างพื้นฐานที่มีความพร้อมและมีระบบไฟฟ้าที่เพียงพอ มาตรการของภาครัฐในการดึงดูดการลงทุน และสามารถเลือกลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมได้ ซึ่งปัจจุบันทีซีแอลมีเพียงโรงงานประกอบทีวีในไทยเท่านั้น สินค้าอื่นๆ อย่างเครื่องปรับอากาศ เป็นการนำเข้าจากจีน เป็นต้น”
อย่างไรก็ตามประเทศไทยถือเป็นตลาดสำคัญหนึ่งในสามประเทศของทีซีแอล และมียอดขายสูงที่สุดในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองลงมา คือ ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม ตามลำดับ ซึ่งทีซีแอลมีเป้าหมายที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้นำตลาดรวมเครื่องใช้ไฟฟ้าในไทยภายในปีพ.ศ. 2570 หรือภายใน 3 ปีนับจากนี้ (พ.ศ. 2568 – 2570) หลังจากที่ทำตลาดในไทยมานานกว่า 20 ปี ปัจจุบันมีสินค้า 4 กลุ่มหลักที่ขายในไทย คือ ทีวี แอร์ เครื่องซักผ้าและตู้เย็น อนาคตมีแผนที่จะนำสินค้ากลุ่มใหม่ๆเข้ามาทำตลาดในไทยเพิ่มเติม เช่น แอร์รถบรรทุก แอร์ห้องครัว และโซลาร์เซล เป็นต้น
ทั้งนี้การที่ทีซีแอลจะขึ้นเป็นผู้นำได้นั้น จะต้องดำเนินตามแผน 5 กลยุทธ์ คือ 1.การพัฒนาสินค้าที่มีคุณภาพ ตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภค 2.การตั้งราคาที่มีความเหมาะสมกับสินค้า 3.การขยายจุดจำหน่ายให้ครอบคลุมเพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายให้มากที่สุด 4.การอบรมและพัฒนาพนักงานขายเพื่อให้สามารถอธิบายลูกค้าได้ และ 5.การพัฒนาระบบหลังบ้านต่างๆ รองรับการขยายตลาด
“ปีนี้ทีซีแอลจะเพิ่มงบการตลาดประมาณ 40% เพื่อใช้ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ซึ่งเตรียมที่จะเพิ่มสื่อดิจิทัลบิลบอร์ดแบบที่ติดตั้งที่เซ็นทรัลเวิลด์ในขณะนี้ให้กระจายไปยังเมืองใหญ่ๆ อีก 20 จังหวัด มั่นใจว่ารายได้ในปี 2568 นี้ จะทำได้กว่า 10,000 ล้านบาท เติบโตต่อเนื่องสู่เป้าหมายหลักในปี 2570 ที่ตั้งเป้าไว้ 17,000 ล้านบาท ขณะที่ในปี 2567 ที่ผ่านมา มียอดขายรวม 8,000 ล้านบาท” นาย แกรี่ จ้าว กล่าว
ไฮเซ่นส์ ซุ่มสร้างฐานผลิตในไทยปีนี้
คลาร่า ชาง ประธานกลุ่มบริษัทไฮเซ่นส์ประจำภูมิภาคอาเซียน และกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไฮเซ่นส์ ประเทศไทย กล่าวว่า บริษัทแม่ของไฮเซ่นส์มีความเชื่อมั่นและศักยภาพในตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าโดยรวมและภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทย จึงมีแผนที่จะลงทุนสร้างโรงงานการผลิตในประเทศไทย อีกทั้งที่ผ่านมาคู่แข่งจากจีนหลายรายก็สร้างฐานการผลิตในไทยกันมากแล้ว ไฮเซ่นส์จึงต้องสร้างความแข็งแกร่งและความพร้อมเช่นกัน
ทั้งนี้ภายในปี2568 คาดว่าจะมีการลงทุนสร้างฐานการผลิตสินค้า จะนำร่องด้่วยการผลิตเครื่องปรับอากาศก่อนที่จะขยายไลน์การผลิตสู่สินค้ากลุ่มอื่น เช่น ตู้เย็น เครื่องซักผ้า เป็นต้น คาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ช่วงไตรมาสสามของปี 2568 แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดและมูลค่าการลงทุนได้