xs
xsm
sm
md
lg

SCC วางกลยุทธ์รับมือ ศก.ผันผวน จับตา! SCGC จ่อขาย Asset ในไทย รอลุ้นครึ่งปีหลังโครงการ LSP เดินเครื่องผลิตต่อ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ปี 2567 เป็นปีที่ยากลำบากของหลายบริษัทรวมถึงของ บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) ที่เผชิญความท้าทายในระดับโลกและในระดับภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็นความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ ราคาพลังงานผันผวน อัตรากำไรในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีตกต่ำ รวมถึงการเบิกจ่ายเงินงบประมาณของรัฐบาลไทยที่ล่าช้า ดอกเบี้ยสูง และกำลังซื้อในประเทศหดหาย

สะท้อนให้เห็นจากผลประกอบการในปี 2567 SCC มีรายได้จากการขายโตขึ้น 2% จากปีก่อนมาอยู่ที่ 511,172 ล้านบาท มีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษีและค่าเสื่อมราคา (EBITDA) 53,946 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อย 0.4% แต่มีกำไรสุทธิ 6,342 ล้านบาท ลดลงถึง 76% จากปี 2566

ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจปี 2568 ยังหนักหนาสาหัสไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าปีก่อน โดยเฉพาะความไม่แน่นอนจากนโยบายทรัมป์ 2.0 ที่ได้เริ่มจุดสงครามการค้าระลอกใหม่จากการใช้มาตรการขึ้นภาษีนำเข้ากับประเทศคู่ค้า เริ่มจากแคนาดา เม็กซิโก และจีน ก่อให้เกิดการตอบโต้ทางการค้าของประเทศที่ได้รับผลกระทบตามมา ส่งผลกดดันต่อการค้าทั่วโลก

 


นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ SCC กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทฯ ยังคงดำเนินธุรกิจอย่างระมัดระวัง และรัดกุม พร้อมลดเงินทุนหมุนเวียน ลดหนี้ รวมทั้งการยกเลิกกิจการที่ไม่ทำกำไรเพิ่มเติม และขายสินทรัพย์ (Asset Divestment) เพื่อเพิ่มความคล่องตัว เน้นรักษากระแสเงินสด

โดยในปีที่ผ่านมาบริษัทได้เดินหน้ามาตรการเสริมความเข้มแข็ง ไม่ว่าจะเป็นการบริหารจัดการเงินทุนหมุนเวียน ลดลงประมาณ 6,200 ล้านบาทจากปีก่อน การปรับโครงสร้างธุรกิจและหยุดธุรกิจที่ไม่ทำกำไรในปี 2567 เช่น ธุรกิจ SCG Express และธุรกิจดิจิทัลเทคโนโลยี OITOLABS ประเทศอินเดีย ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายลงได้มาก รวมทั้งควบคุมเงินลงทุน (CAPEX) เน้นเฉพาะโครงการที่มีผลตอบแทนสูง ส่งผลบริษัทมี EBITDA หรือกระแสเงินสดในปี 2567 ใกล้เคียงปี 2566 อยู่ที่ 5.4 หมื่นล้านบาท แม้ว่ากำไรสุทธิจะปรับลดลงมากถึง 76% ซึ่งเกิดจากค่าเสื่อมราคาที่เพิ่มขึ้นจากการเปิดโรงงานใหม่และส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมที่ลดลง

กล่าวได้ว่า ปี 2568 เป็นปีแห่งความผันผวนจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ แต่ก็ได้อานิสงส์จากราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มปรับลดลง ซึ่งทรัมป์มีนโยบายส่งเสริมการผลิตพลังงานจากฟอสซิลทั้งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้น ส่งผลดีต่อธุรกิจปิโตรเคมีทำให้ต้นทุนวัตถุดิบลดลง ช่วยเพิ่มมาร์จิ้นส่วนต่างระหว่างผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบแนฟทา (Spread) ให้สูงขึ้น

นอกจากนี้ ในปี 2568 ไม่มีปัญหาการเบิกจ่ายล่าช้าของภาครัฐเหมือนปีก่อน ขณะที่การเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP )ของเวียดนามและอินโดนีเซียในปีนี้คาดการณ์อยู่ที่ 8% และ 6% ตามลำดับ ทำให้ธุรกิจในเครือฯ ที่ตั้งอยู่ในประเทศดังกล่าวได้รับอานิสงส์ไปด้วย


ตั้งเป้า EBITDA กว่า 5.4 หมื่นล้านบาท

ดังนั้น SCC ตั้งเป้าหมายรายได้เติบโตขึ้น 3-5%จากปีก่อนที่มีรายได้จากการขาย 511,172 ล้านบาท และคาดว่ามี EBITDA มากกว่า 5.4 หมื่นล้านบาท โดยรายได้ที่เติบโตขึ้นมาจากทุกกลุ่มธุรกิจกลุ่มซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างในไทย แม้โครงการ Residence ยังไม่ดี แต่ภาครัฐยังมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง ส่วนธุรกิจแพกเกจจิ้งในอินโดนีเซียคาดว่าฟื้นตัวดีขึ้น

ส่วนธุรกิจปิโตรเคมีในปี 2568 ยังไม่ดีนักเนื่องจากมีกำลังการผลิตใหม่เข้าสู่ตลาดอยู่แต่มั่นใจว่า Margin ปิโตรเคมีไม่น่าจะต่ำกว่าปีก่อน หลังจากมีโรงงานปิโตรเคมีหลายแห่งทยอยปิดตัวหรือหยุดผลิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากระดับ Spread ต่ำมากเฉลี่ย 300 เหรียญสหรัฐต่อตัน ซึ่งโรงงานอยู่ได้ลำบาก ล่าสุดโรงงานปิโตรเคมีที่ฟิลิปปินส์จะหยุดผลิต จึงเป็นโอกาสดีที่เราจะใช้ฐานการผลิตปิโตรเคมีในไทยส่งออกผลิตภัณฑ์ไปจำหน่ายที่ตลาดฟิลิปปินส์แทน

สำหรับงบลงทุน 5 ปีนี้ (2568-72) SCC ตั้งไว้ที่ 2 แสนล้านบาท แบ่งเป็นงบลงทุนในปีนี้ 3-3.5 หมื่นล้านบาท ใช้ลงทุนในโครงการลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์ (LSP) ราว 6,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะกระจายงบลงทุนในทุกธุรกิจ รวมทั้งการควบรวมหรือซื้อกิจการ (M&A)


ลุ้นโครงการ LSP กลับมาผลิตครึ่งปีหลัง

ส่วนโครงการปิโตรเคมีครบวงจร “ลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์” (Long Son Petrochemicals :LSP) ที่ประเทศเวียดนาม ของบริษัทเอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGC (บริษัทย่อยที่ SCC ถือหุ้นทั้งหมด) ที่มีมูลค่าการลงทุนรวม 5,200 ล้านเหรียญสหรัฐ ก็ได้รับผลกระทบจากวัฏจักรราคาปิโตรเคมีตกต่ำทั่วโลกจากกำลังการผลิตใหม่ที่เข้าสู่ตลาด ทำให้ SCC ตัดสินใจหยุดการผลิตชั่วคราวตั้งแต่กลางเดือนตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา ซึ่งเดิมวางแผนหยุดผลิตแค่ 6 เดือนและกลับมาเดินเครื่องจักรในเดือนเมษายน 2568 แต่สถานการณ์ Spread ยังอยู่ในระดับต่ำ ทำให้ยิ่งผลิตยิ่งขาดทุน บริษัทจึงเลื่อนการเดินเครื่องจักรไปเป็นครึ่งหลังปี 2568 จนกว่าSpread เม็ดพลาสติกจะขยับขึ้นมายืนเหนือ 400เหรียญสหรัฐต่อตัน

เพื่อให้โครงการปิโตรเคมี LSP มีความเข้มแข็งและสามารถแข่งขันในระยะยาว ดังนั้นคณะกรรมการ SCCได้อนุมัติการลงทุนโครงการเพิ่มวัตถุดิบก๊าซอีเทนใน LSP เพื่อสร้างถังเก็บอีเทนและสาธารณูปโภคการรับวัตถุดิบ (Supporting Facilities) จากเดิมที่ใช้วัตถุดิบคือ แนฟทาและโพรเพน คาดว่าโครงการนี้จะแล้วเสร็จในปลายปี 2570

เมื่อเร็วๆ นี้ โครงการเพิ่มวัตถุดิบก๊าซอีเทนได้ทำสัญญาจัดหาวัตถุดิบก๊าซอีเทน เมื่อวันที่ 17 ม.ค. 2568 SCGC และ Enterprise Products Partners L.P. (Enterprise) ซึ่งเป็นผู้จัดหาก๊าซอีเทนชั้นนำของสหรัฐอเมริกา โดย Enterprise จะจัดหาก๊าซอีเทนจากสหรัฐอเมริกา สำหรับโครงการ LSP ประมาณ 1 ล้านตันต่อปีตลอดระยะเวลาสัญญา 15 ปี

ส่วนเรือขนส่ง เมื่อวันที่ 23 ม.ค. 2568 SCGC และ Mitsui O.S.K. Lines, Ltd. (MOL) ซึ่งเป็นผู้ให้บริการเรือขนส่งก๊าซธรรมชาติเหลวชั้นนำของโลก ได้ลงนามในสัญญาระยะยาวสำหรับเช่าเหมาเรือขนส่งก๊าซอีเทน (Very Large Ethane Carriers (VLECs)) รอบแรกจำนวน 3 ลำผ่านบริษัทย่อยของ SCGC และ MOL เพื่อขนส่งก๊าซอีเทนจากสหรัฐอเมริกาไปยังประเทศเวียดนามใช้ในโครงการ LSPE เป็นระยะเวลาสัญญา 15 ปี ส่วนสัญญาเช่าเหมาเรือขนส่งก๊าซอีเทนในส่วนที่เหลืออีก2ลำอยู่ระหว่างดำเนินการ ส่วนถังเก็บวัตถุดิบ การสร้างถังเก็บวัตถุดิบก๊าซอีเทนอยู่ระหว่างดำเนินการ ซึ่งถังเก็บวัตถุดิบดังกล่าวถูกออกแบบเป็นพิเศษ เพื่อให้สามารถเก็บวัตถุดิบอีเทนที่สภาวะอุณหภูมิต่ำประมาณ -90 องศาเซลเซียส

เดิมบอร์ด SCC อนุมัติงบลงทุนโครงการเพิ่มวัตถุดิบก๊าซอีเทนใน LSP ราว 700 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่ล่าสุดใช้เงินลงทุนลดลงเหลือเพียง 500 ล้านเหรียญสหรัฐทำให้โครงนี้คืนทุนเร็วขึ้นเพียง 2 ปีกว่า ซึ่งการใช้อีเทนเป็นวัตถุดิบได้มาร์จิ้นสูงกว่าแนฟทาราว 250 เหรียญสหรัฐต่อตัน ซึ่ง LSP จะใช้อีเทน 1 ล้านตันต่อปี ช่วยเพิ่มมาร์จิ้นราว 8,500 ล้านบาทต่อปี นับเป็นการทรานซ์ฟอร์มธุรกิจให้แข็งแกร่งขึ้น


SCGC ตรวจเช็กธุรกิจที่ไม่ทำกำไร

นายศักดิ์ชัย ปฏิภาณปรีชาวุฒิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGC กล่าวว่า ในปีนี้ SCGC อยู่ระหว่างพิจารณาว่ามีธุรกิจใดบ้างที่ไม่ทำกำไรและต้องเลิกกิจการหรือลดสัดส่วนการถือหุ้นลง เบื้องต้นในปีนี้จะเห็นการขายสินทรัพย์ (Asset) ที่อยู่ในไทย โดยอาจจะลดการถือหุ้นลง

ส่วนแนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 2568 SCGC คาดว่าจะมีรายได้เติบโตขึ้นกว่าปีก่อน เนื่องจากไม่มีการปิดซ่อมบำรุงโรงงานระยองโอเลฟินส์ หรือ ROC เหมือนต้นปีที่แล้ว ทำให้มีกำลังการผลิตมากขึ้นราว 2 แสนตัน แต่ราคาปิโตรเคมียังไม่ดี โดยเฉพาะส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบ (Spread) ในครึ่งแรกปีนี้ยังไม่ดี น่าจะใกล้เคียงปีก่อน แต่เชื่อว่าหากมีโรงงานหยุดผลิตหรือปิดตัว จะผลักดันให้ Spread กลับมาสูงขึ้น รวมกับราคาแนฟทาที่ลดลงจะทำให้ SCGC มีผลดำเนินงานดีขึ้น

อย่างไรก็ดี ปี 2568 ยังเป็นปีที่ยากลำบากของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีต่อเนื่อง ทำให้บางโรงตัดสินใจหยุดผลิต เช่นเดียวกับโครงการ LSP ที่เวียดนาม แม้ว่าจะเพิ่งเริ่มเดินเครื่องจักรเชิงพาณิชย์แต่ก็ต้องหยุดผลิตชั่วคราวเมื่อกลางเดือนตุลาคมที่ผ่านมา เพราะโครงการ LSP มีโรงงานผลิตโอเลฟินส์และโรงงานผลิตเม็ดพลาสติกเกรดทั่วไป ยังไม่มีโรงงานผลิตผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่ม (HVA) เหมือนโรงงานปิโตรเคมีในไทยที่ไม่ว่าสถานการณ์เลวร้ายอย่างไรก็เอาตัวรอดได้

แต่หากโครงการเพิ่มวัตถุดิบก๊าซอีเทนใน LSP แล้วเสร็จ มีการนำก๊าซอีเทนจากสหรัฐฯ ที่มีราคาถูกกว่าการใช้แนฟทาราว 40% มาเป็นวัตถุดิบป้อนใน LSP ที่เวียดนาม เกิดความยืดหยุ่นในการเลือกใช้วัตถุดิบ ช่วยลดผลกระทบจากความผันผวนของราคาวัตถุดิบ ดังนั้น โครงการ LSP ในระยะยาวจะไม่เหนื่อย แม้ว่าปิโตรเคมีวัฏจักรขาลงก็ตาม


กำลังโหลดความคิดเห็น