- • คาด EBITDA ปี 2568 มากกว่า 5.4 หมื่นล้านบาท
- • ปี 2566 เป็นปีที่ตลาดผันผวนจากนโยบายของทรัมป์ กระทบการค้าโลก
- • SCC อัดงบลงทุนปี 2566 จำนวน 3-3.5 หมื่นล้านบาท
SCC ต้วเป้ายอดขายปี68 โตขึ้น 3-5%จากปีก่อนอยู่ที่ 5.11แสนล้านบาท และกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน (EBITDA) มากกว่า 5.4 หมื่นล้านบาท ชี้ปีนี้เป็นปีแห่งความผันวนจากนโยบายทรัมป์ทำให้กระทบการค้าทั่วโลก พร้อมอัดงบลงทุนปีนี้ 3-3.5 หมื่นล้านบาท ส่วนโครงการLSPที่เวียดนามรอลุ้นตลาดในครึ่งหลังปีนี้จะมีโอกาสกลีบมาผลิตได้หรือไม่
นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC เปิดเผยว่าในปี2568 บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโตขึ้น 3-5%จากปี2567 ที่มีรายได้จากการขาย 511,172 ล้านบาท และกำไร 6,342 ล้านบาท และมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน (EBITDA) มากกว่า 5.4 หมื่นล้านบาท
แม้ว่าปี2568 เป็นปีแห่งความผันผวน จากนโยบายทรัมป์ที่จะกระทบการค้าทั่วโลก ขณะที่แนวโน้มราคาน้ำมันน่าจะปรับลดลง ส่งผลดีต่อธุรกิจปิโตรเคมีทำให้ต้นทุนวัตถุดิบลดลง
ดังนั้นในปีนี้ SCC พร้อมคว้าโอกาสเศรษฐกิจภูมิภาคฟื้นตัว การเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐของไทยคาดว่าจะเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ขณะที่อาเซียน โดยเฉพาะเศรษฐกิจอินโดนีเซีย เวียดนาม GDP มีแนวโน้มเติบโตกว่าค่าเฉลี่ยโลกโดยมีแรงสนับสนุนจากกำลังซื้อในประเทศการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ และการลงทุนจากต่างประเทศ ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เช่น กลุ่มธุรกิจเอสซีจี ดิสทริบิวชั่นแอนด์รีเทล เร่งขยายโมเดิร์นเทรดวัสดุก่อสร้างและสินค้าเพื่อที่อยู่อาศัย
ด้านบริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP คาดว่าการบริโภคภายในกลุ่มอาเซียนรวมถึงความต้องการใช้กระดาษบรรจุภัณฑ์มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ขณะที่ ส่งออกบรรจุภัณฑ์พอลิเมอร์ บรรจุภัณฑ์อาหารและกระดาษพิมพ์เขียน มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง
ส่วนบริษัทเอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGC ในปีนี้วัฏจักรปิโตรเคมีเริ่มทรงตัว ส่วนต่างราคาเม็ดพลาสติกกับแนฟทา(สเปรด)ไม่ต่ำกว่านี้แล้ว ปัจจุบันสเปรดHDPEอยู่ที่ 300 เหรียญสหรัฐ/ตัน ซึ่งต่ำมาก ทำให้โรงงานปิโตรเคมีในต่างประเทศต้องหยุดผลิตแล้ว อาทิ โรงงานปิโตรเคมีที่ฟิลิปปินส์ ส่วนราคาน้ำมันมีแนวโน้มลดลง จะช่วยให้ต้นทุนวัตถุดิบลดลง โดยบริษัทคงเดินหน้าเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการกระแสเงินสด
ส่วนโครงการปิโตรเคมีครบวงจร ลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์ (LSP)ที่เวียดนามได้หยุดชั่วคราวตั้งแต่กลางเดือนตุลาคม 2567 คาดจะปิดไปถึงกลางปี2568 ส่วนจะกลับมาเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในครึ่งหลังปี2568 หรือไม่ขึ้นอยู่กับสภาพตลาด โดยสเปรดที่จะทำให้โครงการLSP กลับมาเดินเครื่องได้เฉลี่ยอยู่ที่ 400เหรียญสหรัฐต่อตัน
เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันและสร้างความเข้มแข็งให้โครงการLSPในระยะยาว บอร์ดSCCได้อนุมัติงบลงทุนโครงการอีเทนที่ LSP งบลงทุน 700 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อสร้างถังเก็บอีเทนและสาธารณูปโภคการรับวัตถุดิบ(Supporting Facilities) คาดว่าโครงการจะแล้วเสร็จปลายปี 2570 ซึ่งขณะนี้ได้มีการทำสัญญาจัดหาวัตถุดิบก๊าซอีเทนในระยะยาวเป็นผลสำเร็จ ประมาณ 1 ล้านตันต่อปี เป็นระยะเวลา 15 ปี และเช่าเหมาเรือขนส่งก๊าซอีเทนระยะยาวอีก 3 ลำ ทั้งนี้ บริษัทจะเร่งจัดหาเรือในส่วนที่เหลืออีก 2 ลำ พร้อมทั้งสร้างถังเก็บและปรับปรุงโรงงาน ให้พร้อมรับก๊าซอีเทนให้ได้ภายในปี 2570 ขณะที่งบลงทุนใช้เพียง 500ล้านเหรียญสหรัฐต่ำกว่าที่ได้รับอนุมัติ ส่งผลให้คืนทุนได้เร็วขึ้นเพียง2ปีกว่า
SCCตั้งงบลงทุนในปีนี้อยู่ที่ 3-3.5 หมื่นล้านบาท โดยเป็นการลงทุนใน LSP ประมาณ 6,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะกระจายงบลงทุนในทุกธุรกิจ รวมทั้งการทำความรวมหรือซื้อกิจการ(M&A)ในธุรกิจแพคเกจจิ้ง
สำหรับผลการดำเนินงานบริษัทในปี 2567 SCC บริษัทรายได้จากการขาย 511,172 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% จากปีก่อน จากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นและมีกำไรสำหรับปี 6,342 ล้านบาท ลดลง 76% แต่บริษัทมีความมั่นคงทางการเงิน โดยบริษัทสามารถบริหารกระแสเงินสดจากการดำเนินงานได้เป็นที่น่าพอใจ อยู่ที่ 53,946 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในระดับเดียวกับปี 2566 ดังนั้นคณะกรรมการบริษัทฯ จึงได้มีมติให้เสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่ออนุมัติจ่ายเงินปันผลประจำปี ในอัตราหุ้นละ 5.00 บาท รวมเป็นเงิน 6,000 ล้านบาท คิดเป็น 95% ของกำไร