- • เปิดหลักสูตรการเรียนการสอนด้านทัศนมาตรศาสตร์ ผลิต "นักทัศนมาตร" หรือ "หมอสายตา"
- • ผู้เรียนจบการศึกษาแล้วการันตีมีงานทำ
- • มีเป้าหมายผลิตบุคลากรด้านการดูแลสุขภาพสายตาให้เพียงพอต่อความต้องการของคนไทย
เปิดอาชีพสุดแรร์ “นักทัศนมาตร” หรือ “หมอสายตา” เรียนจบการันตีมีงานทำ ‘แว่นท็อปเจริญ’ ผนึกความร่วมมือ ม.ธุรกิจบัณฑิตย์ เดินหน้าจัดตั้ง ‘วิทยาลัยทัศนมาตรศาสตร์ท็อปเจริญ’ ตั้งเป้าผลิตนักทัศนมาตรหรือหมอสายตาดูแลสุขภาพสายตาคนไทยครอบคลุมทุกพื้นที่และในภูมิภาคอาเซียน พร้อมสร้างโอกาสให้เยาวชนคนรุ่นใหม่มีอาชีพ มีรายได้ที่มั่นคง และร่วมผลักดันอุตสาหกรรมแว่นตาไทยให้เติบโตยั่งยืน
ปัจจุบัน ผู้คนให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพสายตากันมากขึ้น อีกทั้งสังคมไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย (Aging Society) ซึ่งต้องเผชิญกับปัญหาการมองเห็นเพราะสายตาเสื่อมตามวัย และที่สำคัญไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ที่คนใช้สายตาอยู่กับหน้าจอทุกวันเป็นระยะเวลานาน ส่งผลให้แนวโน้มปัญหาเกี่ยวกับสายตาเพิ่มขึ้นตามไปด้วย อย่างไรก็ดี ท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้กลับพบว่า ผู้เชี่ยวชาญด้านสายตาของไทยที่สามารถให้คำปรึกษาแนะนำยังมีไม่เพียงพอต่อความต้องการ ถึงขั้นที่พูดได้ว่า “ขาดแคลน”
“แว่นท็อปเจริญ” เล็งเห็นปัญหาดังกล่าว จึงผนึกความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ จัดตั้ง “วิทยาลัยทัศนมาตรศาสตร์ท็อปเจริญ” ด้วยความตั้งใจอันดีที่จะผลิต “นักทัศนมาตร” หรือ “หมอสายตา” ที่พร้อมให้การดูแลสายตาของประชาชนคนไทยได้ครอบคลุมทั่วประเทศ ตลอดจนในกลุ่มประเทศอาเซียน
ผู้จัดการออนไลน์ พาไปทำความรู้จักกับอาชีพ “นักทัศนมาตร” ผ่านบทสนทนากับ “คุณนพศักดิ์ ตรีพรชัยศักดิ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร แว่นท็อปเจริญ - บริษัท ร่วมเจริญพัฒนา จำกัด (มหาชน) ซึ่งให้คำยืนยันอย่างหนักแน่นว่า เรียนสาขาวิชาชีพนี้ไม่มีคำว่า “ตกงาน” แน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์!
รู้จัก “นักทัศนมาตร” หมอสายตาเจนใหม่ อาชีพสุดแรร์ อนาคตไกล เรียนจบไม่ตกงาน 100%
รู้หรือไม่ว่า ถ้าหากจัดอันดับอาชีพสุดแรร์หรือขาดแคลนมากที่สุดของเมืองไทย หนึ่งในนั้นย่อมมี “นักทัศนมาตร” ติดอยู่ในอันดับต้น ๆ ทั้งที่อาชีพนี้มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อประชาชนในยุคปัจจุบันที่ผู้คนมีการใช้สายตาอยู่กับหน้าจออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต เป็นเวลานานในทุกช่วงวัย ซึ่งส่งผลกระทบต่อสายตาในระยะยาว ขณะที่การเข้าถึง “นักทัศนมาตร” ยังมีข้อจำกัดอย่างมาก
หากพูดอย่างเข้าใจง่าย “นักทัศนมาตร” (Doctor of Optometry) หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า O.D. ก็คือ หมอสายตาซึ่งมีทักษะความรู้ความสามารถในการตรวจวัดสายตาและสุขภาพตาเบื้องต้น ซึ่งมีความชำนาญเฉพาะทางด้านสายตา สามารถแก้ไขระบบการมองเห็นและความผิดปกติของกล้ามเนื้อดวงตาได้ (ที่ไม่ใช่การผ่าตัดดวงตา) ซึ่งถือได้ว่าเป็นหนึ่งในอาชีพที่มีบทบาทสำคัญต่อระบบสาธารณสุขของไทยในระดับปฐมภูมิ ทั้งยังเป็นด่านแรกในการดูแลสุขภาพดวงตาและคัดกรองปัญหาสายตาเบื้องต้นที่สามารถเข้าถึงได้ง่าย ตลอดจนช่วยป้องกันและรักษาก่อนที่จะเกิดอาการรุนแรงหรือลุกลามได้
ทั้งนี้ จากการให้ข้อมูลโดยคุณนพศักดิ์ ตรีพรชัยศักดิ์ ระบุว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีจำนวนนักทัศนมาตรเพียง 700-800 คนเท่านั้น ซึ่งในจำนวนนี้กว่า 300 คนประจำอยู่ในโรงพยาบาลของรัฐ อีกกว่าร้อยคนกระจายอยู่ตามสถานพยาบาลเอกชนและหน่วยงานต่าง ๆ ที่เหลือจากนั้นอีกประมาณ 300 คนอยู่ประจำตามร้านแว่นตา ขณะที่เมืองไทยมีร้านแว่นตานับหมื่นร้าน ซึ่งถือว่ายังไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาดวิชาชีพนี้ ทั้งนี้ยังมีสถาบันการศึกษาในสาขานักทัศนมาตรศาสตร์อยู่เพียง 5 แห่ง และแต่ละแห่งสามารถผลิตนักทัศนมาตรต่อปีได้ในจำนวนจำกัด
“จากจุดนี้ทำให้ผมเกิดไอเดียว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เรามีทั้งโรงเรียนวิชาการแว่นตาไทยและ “ศูนย์ฝึกอบรมและพัฒนาบุคลากร” ซึ่งสามารถผลิตบุคลากรผู้เชี่ยวชาญด้านสายตามาอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันเรามีผู้เชี่ยวชาญด้านสายตาในองค์กรประมาณ 8,000 คน และมีนักทัศนมาตรประจำอยู่สาขาของเราแล้วหลายสาขา ซึ่งจริง ๆ เราอยากให้มีครอบคลุมครบกว่า 2,000 สาขา เราจึงมาคิดต่อว่า ทำอย่างไรจะช่วยเพิ่มจำนวนนักทัศนมาตรได้ นั่นจึงเป็นที่มาของความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ จัดตั้งวิทยาลัยทัศนมาตรศาสตร์ท็อปเจริญ สาขาวิชาทัศนมาตรศาสตรบัณฑิต (Doctor of Optometry, O.D.) หลักสูตร 6 ปี เพื่อผลิตบุคลากรด้านนี้ให้พอเพียงกับความต้องการของตลาด และเพื่อให้ประชาชนคนไทยสามารถเข้าถึงการดูแลสุขภาพดวงตาได้อย่างสะดวก ทั่วถึง และครอบคลุม ทุกพื้นที่ของเมืองไทย”
นอกจากนั้นแล้ว ซีอีโอแว่นท็อปเจริญ ยังเล็งเห็นอีกหนึ่งเป้าหมายสำคัญที่มีคุณค่าต่อสังคม คือ การสร้างโอกาสให้เด็กไทยมีทางเลือกเรียนเป็นหมอสายตาและมีอาชีพที่มั่นคง ซึ่งเมื่อสำเร็จการศึกษาครบหลักสูตรแล้ว สามารถขอใบประกอบวิชาชีพ “หนังสืออนุญาตให้ทำการประกอบโรคศิลปะโดยอาศัยทัศนมาตรศาสตร์” จากกระทรวงสาธารณสุข และสามารถต่อยอดในเส้นทางอาชีพที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการตรวจวัดสายตาประจำสถานพยาบาล การศึกษาวิจัยร่วมกับหน่วยงานรัฐหรือเอกชน การคัดกรองสุขภาพสายตาเบื้องต้นที่ร้านแว่นตา หรือการเข้าทำงานกับบริษัทผลิตเลนส์สายตา คอนแทคเลนส์ และบริษัทเครื่องมือแพทย์ รวมทั้งยังสามารถต่อยอดองค์ความรู้สู่ผู้เชี่ยวชาญหรืออาจารย์ในสถาบันการศึกษาได้
“และที่สำคัญ ถ้าเรียนจบที่วิทยาลัยทัศนมาตรศาสตร์ท็อปเจริญของเรา มีงานทำ 100% เพราะที่ร้านแว่นท็อปเจริญพร้อมเป็นพื้นที่ Safe Zone ให้กับนักศึกษา เปิดโอกาสให้พวกเขาได้แสดงศักยภาพอย่างเต็มที่ เมื่อเรียนจบแล้ว สามารถสมัครเข้ามาทำงานที่ร้านของเราได้ เรายินดีต้อนรับ 100% เพราะฉะนั้น ผมการันตี เรียนที่นี่ไม่มีคำว่าตกงาน” คุณนพศักดิ์ กล่าวย้ำด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
ยิ่งไปกว่านั้น ร้านแว่นท็อปเจริญยังพร้อมที่จะเป็นพื้นที่แห่งการเรียนรู้ในช่วงฝึกงานให้กับนักศึกษา “หมอสายตาเจนใหม่” ด้วยการมอบประสบการณ์ในการตรวจวัดสายตาและการฝึกประสบการณ์ (Training) โดยหลักสูตรนี้จะมีการเปิดโอกาสให้นักศึกษาได้ฝึกงานจริงที่ร้านแว่นท็อปเจริญ
“นักศึกษาที่เรียนในหลักสูตรทัศนมาตรศาสตรบัณฑิตของเราจะได้ฝึกงานทั้งในโรงพยาบาลและที่ร้านแว่นท็อปเจริญ ทั้งช่วงที่เรียนอยู่หรือฝึกในปีสุดท้ายก่อนจบ นักศึกษาจะได้มาฝึกปฏิบัติจริงให้กับคนไข้หรือลูกค้า เหมือนได้ขึ้นวอร์ดจริง ๆ และเรายังมีสาขาที่รองรับทั่วประเทศ นักศึกษาที่มีพื้นเพหรือบ้านอยู่ต่างจังหวัดก็สามารถเลือกไปฝึกงานที่แว่นท็อปเจริญสาขาใกล้บ้านของตัวเองได้ ซึ่งเรามีที่รองรับฝึกงานมากกว่า 2,000 สาขาทั่วประเทศ”
ในส่วนของพันธมิตรอย่าง “มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์” ที่แว่นท็อปเจริญได้มีการร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ (MOU) ไปเมื่อเดือนธันวาคม 2567 ที่ผ่านมานั้น เนื่องจากเราเล็งเห็นแล้วว่าทาง DPU ถือเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำ มีชื่อเสียงและมีมาตรฐานด้านการศึกษา พร้อมที่จะซัพพอร์ตวิทยาลัยทัศนมาตรในด้านต่าง ๆ ตั้งแต่เรื่องสถานที่สำหรับการเรียนการสอน การบริหารจัดการหลักสูตร การคัดเลือกนักศึกษา และควบคุมคุณภาพการศึกษา พร้อมทั้งเน้นพัฒนาหลักสูตรที่ทันสมัย ผสานนวัตกรรมของแว่นท็อปเจริญ เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายในการสร้างบัณฑิตที่พร้อมตอบสนองตลาดแรงงานและพัฒนางานวิจัยด้านสายตา ทำให้ผู้เรียนมั่นใจได้ว่า “วิทยาลัยทัศนมาตรศาสตร์ท็อปเจริญ” แห่งนี้พร้อมจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับอาชีพที่มั่นคงของตนเอง
“ดังนั้น นักทัศนมาตรจึงมีบทบาทสำคัญมาก ผมจึงอยากชวนน้อง ๆ ที่ยังลังเลว่าจะเลือกเรียนสาขาไหน ให้มาเรียนสาขานี้กันครับ น้องเรียน 6 ปี จบมาได้เป็นคุณหมอด้านสายตา ได้ดูแลสายตาและแว่นตาให้ประชาชน ซึ่งจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตและสุขภาพของประชาชนในประเทศ และยังมีรายได้ดี เป็นอาชีพที่มั่นคงและต่อยอดได้ตลอดเวลา” ซีอีโอแว่นท็อปเจริญ กล่าวด้วยความเชื่อมั่น
เป้าหมายสร้าง ‘นักทัศนมาตร’ รองรับปัญหาสายตาคนไทย - พร้อมเติบโตขยายสู่อาเซียน
นอกจากเป้าหมายในการยกระดับคุณภาพชีวิตด้านสายตาของคนไทย แว่นท็อปเจริญยังมีการขยายธุรกิจไปในระดับอาเซียน ซึ่งทางแว่นท็อปเจริญได้มีการจดทะเบียนเป็น “บริษัทมหาชน” เดินหน้าขยายสาขาไปยังหลายประเทศในภูมิภาคอาเซียน ไม่ว่าจะเป็นที่เวียดนาม สปป.ลาว รวมทั้งที่กัมพูชา และยังมีแพลนที่จะขยายสาขาในต่างประเทศให้มากขึ้น
คุณนพศักดิ์ กล่าวว่า ในประเทศที่แว่นท็อปเจริญไปเปิดสาขา จะยังไม่มีวิทยาลัยทัศนมาตรศาสตร์ เราจึงมีแนวคิดมอบโอกาสทางการศึกษาให้แก่เยาวชนในประเทศนั้น ๆ รวมถึงนักศึกษาจากประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคอาเซียนที่มีความสนใจในด้านทัศนมาตรเข้ามาเรียนที่วิทยาลัยทัศนมาตรศาสตร์ท็อปเจริญที่เมืองไทย เพื่อนำองค์ความรู้ที่ได้รับไปต่อยอดทำงานในสาขาที่ประเทศของตัวเองต่อไป ซึ่งนับเป็นการรองรับการเติบโตในตลาดต่างประเทศของแว่นท็อปเจริญในเวลาเดียวกัน
“และที่สำคัญ เราคาดหวังว่า ในอนาคตอย่างน้อยปี 2030 เราต้องการให้ร้านแว่นตาของเราบรรลุเป้าหมายที่องค์การอนามัยโลกกำหนด คือ สามารถพัฒนาคุณภาพสายตาของประชาชนไทยให้ได้มาตรฐานโลก เพื่อให้คนไทยในทุกระดับสามารถเข้าถึงการมองเห็นที่ดี สามารถให้บริการด้านสายตาให้แก่คนไทยได้อย่างถ้วนหน้าเหมือนบริการสุขภาพทั่วไป และสามารถผลิตนักทัศนมาตรป้อนอุตสาหกรรมแว่นตาไทยให้ได้ตามมาตรฐานที่องค์การอนามัยโลกกำหนดไว้ว่า ‘ต้องมีนักทัศนมาตรให้ได้สัดส่วนต่อจำนวนประชากร’ นี่คือเป้าหมายที่ผมต้องการทำ คือยกระดับคุณภาพชีวิตด้านสายตาให้กับประชาชนคนไทยอย่างครอบคลุมทั่วประเทศ”
ด้วยมาตรฐานของแว่นท็อปเจริญที่มีการพัฒนาไม่หยุดยั้ง ทำให้แม้แต่ชาวต่างชาติก็ให้ความชื่นชมในมาตรฐานและการยกระดับได้เทียบเท่ามาตรฐานสากล
“ในปัจจุบันนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจำนวนมากนิยมมาตัดแว่นตา ซื้อแว่นที่ประเทศไทยเยอะมาก ซึ่งส่งผลดีต่อยอดขายให้แว่นท็อปเจริญของเรา โดยเฉพาะเมืองท่องเที่ยว สาเหตุที่ชาวต่างชาตินิยมมาตัดแว่นที่แว่นท็อปเจริญ เพราะนอกจากจะได้แว่นตาราคาดีแล้ว เรายังขึ้นชื่อเรื่อง Service Mind และบริการด้านสายตาที่ทันสมัยมีมาตรฐาน ที่สำคัญเรามีบุคลากรผู้เชี่ยวชาญด้านสายตาและนักทัศนมาตรที่มีความเชี่ยวชาญครบครัน” คุณนพศักดิ์ กล่าวด้วยรอยยิ้ม
เคล็ดลับความสำเร็จเกือบ 8 ทศวรรษ กลยุทธ์มัดใจลูกค้าของ “แว่นท็อปเจริญ”
จากร้านแว่นตาเล็ก ๆ ในยุคบุกเบิกที่มีคุณพ่อเป็นผู้ก่อตั้ง จนกระทั่งคุณนพศักดิ์เข้ามารับช่วงต่อธุรกิจ และพลิกโฉมวงการร้านแว่นตาแบบดั้งเดิมสู่การบริหารงานแบบสมัยใหม่ พร้อมทั้งนำเอาเทคโนโลยีการตรวจวัดสายตาที่ทันสมัยเข้ามาใช้ และรักษาคุณภาพการบริการที่ดีเสมอมา เพื่อคงไว้ซึ่งความพึงพอใจของลูกค้าสูงสุด
ปัจจุบัน แว่นท็อปเจริญมีสาขาครอบคลุมทั่วประเทศมากกว่า 2,000 สาขา ภายใต้คุณภาพการให้บริการ มาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ มีแฟล็กชิปสโตร์อีก 60 กว่าแห่ง ครองส่วนแบ่งการตลาดแว่นตาเมืองไทยสูงถึง 41% พร้อมเดินหน้าแผ่ขยายสาขาไปในตลาดต่างประเทศระดับอาเซียน
เรียกได้ว่า “แว่นท็อปเจริญ” ปฏิวัติวงการธุรกิจร้านแว่นตาเมืองไทยไปโดยสิ้นเชิง ภายใต้แนวคิดการให้บริการแบบ One Stop Service ที่มีทั้งแว่นตา เลนส์สายตา คอนแทคเลนส์ แบรนด์ชั้นนำที่มีให้เลือกหลากหลายครบครันจากทั่วทุกมุมโลกเพื่อบริการลูกค้า ตามความชอบ ความต้องการ ตามเทรนด์ แฟชั่น หรือการประกอบกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน และพร้อมดูแลและแก้ไขทุกปัญหาความผิดปกติของสายตาที่เกิดขึ้นเฉพาะแต่ละบุคคล เพื่อเอาใจลูกค้าได้ทุกกลุ่ม ครอบคลุมทุกความต้องการอย่างแท้จริง
แว่นท็อปเจริญเป็นตัวแทนจำหน่ายแว่น Brand Name ชั้นนำมากมายที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการจากบริษัทผู้ผลิต และเจ้าของลิขสิทธิ์โดยตรง ลูกค้าจึงมั่นใจในคุณภาพสินค้าว่าเป็นของแท้ 100% สินค้าทุกอันผ่านการตรวจสอบและควบคุมคุณภาพตามมาตรฐานสากล ภายใต้การควบคุมดูแลเอาใจใส่จากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่คำนึงถึงประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับเป็นสำคัญ
“สิ่งที่เราคำนึงถึงตลอดเวลาก็คือ ลูกค้าต้องมาก่อน” คุณนพศักดิ์ เผยถึงกลยุทธ์การตลาดมัดใจลูกค้า “ผมจะคิดทุกวันว่าเราจะเอาใจลูกค้าอย่างไร ทำอย่างไรให้ลูกค้าประทับใจ เราต้องใส่ใจลูกค้า เราจะหยุดนิ่งไม่ได้ ลูกค้าต้องการอะไร เราต้องตอบโจทย์ลูกค้าให้ได้ เพราะปัจจุบัน การเปลี่ยนแปลงมันเร็วมาก ลูกค้าเปลี่ยนไปตลอดเวลา เพราะฉะนั้น เราต้องตามใจลูกค้า ที่สำคัญเราต้องพัฒนาตนเองตลอดเวลา ทำให้ได้ตามที่ลูกค้าต้องการ การเปิดวิทยาลัยทัศนมาตรศาสตร์ท็อปเจริญก็มาจากความต้องการของลูกค้าเช่นกัน เพราะลูกค้าต้องการบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญในการตรวจวัดสายตา เราก็ผลิตบุคลากรด้านทัศนมาตรขึ้นมารองรับความต้องการของลูกค้า”
นอกจากนั้น แว่นท็อปเจริญยังมีจุดแข็งอีกหลายประการ ทั้งการลงทุนในเครื่องมือที่ทันสมัย อย่างเครื่อง AI Eye Partner และ MEI ที่เป็นนวัตกรรมเทคโนโลยี AI มาใช้ในการวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้สายตา และตัดแว่นประกอบเลนส์สายตาสุดล้ำหน้า ซึ่งช่วยให้ลูกค้าได้แว่นตาที่เหมาะสมและสมบูรณ์แบบที่สุด รวมทั้งการมีสินค้าหลากหลายครบครันทุกแบรนด์ชั้นนำระดับโลกที่แว่นท็อปเจริญเป็นตัวแทนโดยตรงในเมืองไทย บวกกับการบริการที่ดี โดยเฉพาะ After-Sales Service หรือบริการหลังการขายที่สามารถใช้บริการได้ทุกสาขาทั่วประเทศ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นจุดแข็งของแว่นท็อปเจริญที่ดึงดูดใจ และสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าเสมอมา
โดยล่าสุด เสน่ห์ที่ทำให้คนรักแว่นท็อปเจริญมากยิ่งขึ้นไปอีกคือ “แฟล็กชิปสโตร์” ที่สามารถกล่าวได้ว่าเป็นเจ้าเดียวในเมืองไทยและเป็นที่แรก ๆ ของโลกซึ่งทำแฟล็กชิปสโตร์ร้านแว่นตาแบบคอมเพล็กซ์ให้ลูกค้าได้เปิดประสบการณ์การช้อปแว่นตาและบริการด้านสายตาสุดเอ็กซ์คลูซีฟ ภายในอาคาร 2-7 ชั้น ที่ออกแบบตกแต่งสวยงามทันสมัย ซึ่งครบครันทั้งแว่นตาหลากสไตล์ สามารถบรรจุแว่นได้กว่าหนึ่งหมื่นชิ้นในแต่ละแฟล็กชิปสโตร์ และมีผู้เชี่ยวชาญประจำสาขา ที่พร้อมให้คำแนะนำและตรวจวัดสายตาได้ตรงตามมาตรฐานด้วยอุปกรณ์และเทคโนโลยีล้ำสมัย
“เราเปิดแฟล็กชิปสโตร์ไปแล้วกว่า 60 แห่ง และวางแผนที่จะเปิดให้ครอบคลุมทุกจังหวัด โดยจุดเด่นอย่างหนึ่งของแฟล็กชิปสโตร์คือความสวยงาม โดยเฉพาะเวลากลางคืน เรามีไฮไลต์แสงสีดึงดูดลูกค้าและนักท่องเที่ยวให้สนใจมาเช็กอินและถ่ายรูปกันเยอะมากที่หน้าตึกของเรา ไม่ว่าจะเป็นที่ใจกลางสยามสแควร์ หรือจะเป็นอาคารสไตล์ชิโนโปรตุกีสที่จังหวัดภูเก็ต และสุราษฎร์ธานี ซึ่งมีอายุกว่าร้อยปี กระทรวงวัฒนธรรมอนุญาตให้เราเข้าไปใช้งาน และร่วมสร้างสีสันให้เมืองท่องเที่ยวดูคึกคัก พร้อมกระตุ้นเศรษฐกิจไปด้วยในตัว”
ด้วยประสบการณ์อันยาวนานเกือบ 8 ทศวรรษบนเส้นทางธุรกิจร้านแว่นตา “แว่นท็อปเจริญ” พร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนอุตสาหกรรมแว่นตาไทยให้เติบโต เพื่อให้ประชาชนคนไทยได้เข้าถึงการดูแลสุขภาพสายตาที่มีประสิทธิภาพและทั่วถึง พร้อมทั้งสร้างโอกาสสร้างอาชีพเพื่อการเติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืน โดยคุณนพศักดิ์กล่าวย้ำในตอนท้ายว่า “ธุรกิจแว่นตายังสามารถเติบโตต่อไปได้อีกมาก”
“เพราะสายตาเป็นสิ่งที่สำคัญ ดวงตาเปลี่ยนกันไม่ได้ มีแค่คู่เดียว แว่นตาจึงเป็นปัจจัยสำคัญในการดำเนินชีวิต ถ้าเรามองไม่เห็น มองไม่ชัด ยังไงก็ต้องใส่แว่น จะไปยืมคนอื่นใส่เหมือนนาฬิกาก็ไม่ได้ เพราะแต่ละคนมีปัญหาและค่าสายตาที่แตกต่างกัน และในปัจจุบัน ความต้องการของผู้บริโภคยังมีสูงและทวีจำนวนเพิ่มมากขึ้นทุกวัน ตามสถานการณ์สังคมผู้สูงวัยและไลฟ์สไตล์ของผู้คน เพราะนอกจากเราจะใส่แว่นตาเพื่อการดูแลสายตาให้มองเห็นชัดเจนแล้ว ยังเป็นสินค้าแฟชั่น บางคนใส่เพื่อเสริมบุคลิกให้ดูสวยหล่อดูเท่ และแว่นตายังมีฟังก์ชั่นที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์เฉพาะทาง เช่น แว่นตาสปอร์ตสำหรับนักกีฬา นักกอล์ฟ นักปั่นจักรยาน เกมเมอร์ และอื่น ๆ อีกมากมาย เชื่อว่าตลาดแว่นตาเมืองไทยรวมถึงในอาเซียนยังสามารถเติบโตได้อีกไกลและเป็นการเติบโตที่ยั่งยืน”