- • การทบทวนเกิดจากสถานการณ์โลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
- • เป้าหมายคือการปรับตัวให้ธุรกิจมีความได้เปรียบในการแข่งขัน
- • ธุรกิจที่ไม่มีความได้เปรียบจะหาพันธมิตรใหม่
สถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ปตท.ภายใต้การนำของ ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ซีอีโอปตท. ได้สั่งทบทวนทุกธุรกิจในกลุ่ม ปตท.เพื่อกำหนดทิศทางการดำเนินธุรกิจในอนาคต หากพบว่าธุรกิจใดไม่มีความได้เปรียบในการแข่งขันก็จะเร่งหาพันธมิตรใหม่มาเสริมหรือยุติการลงทุนไป เพื่อปิดช่องโหว่การแบกรับภาระการขาดทุนที่เกิดขึ้นในอนาคต
ส่งผลให้ช่วงครึ่งหลังปี 2567 จะเห็นบริษัท Flagship ของ ปตท. ไม่ว่าจะเป็น บมจ.ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก (OR) และ บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) ต่างประกาศเลิกกิจการไปหลายโครงการ มีการบันทึกด้อยค่าสินทรัพย์จากการเลิกกิจการเป็นเงินสูงนับหมื่นล้านบาทเลยทีเดียว
ขณะที่ ปตท.ได้ปรับกลยุทธ์หันมาโฟกัสในธุรกิจพลังงานที่ถนัด โดยเฉพาะก๊าซธรรมชาติ ควบคู่กับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างสมดุล ผ่านการทำ Carbon Capture and Storage และรุกธุรกิจ Hydrogen เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมตอกย้ำการทำธุรกิจต้องมีกำไร เนื่องจากในช่วง 3-5 ปีที่ผ่านมา ปตท.มีการขยายการลงทุนไปสู่ธุรกิจใหม่เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านพลังงาน ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในกลุ่ม EV Value Chain ไม่ว่าจะเป็นโครงการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี) แบตเตอรี่ สถานีชาร์จรถไฟฟ้า (EV Charging) ธุรกิจวิทยาศาสตร์เพื่อชีวิต (Life Science) ธุรกิจโลติสติกส์ ฯลฯ ซึ่งเป็นธุรกิจที่ไม่อยู่ใน Core Business และ ปตท.เองก็ไม่มีความเชี่ยวชาญ จึงเป็นเหตุผลทำให้ ปตท.ต้องเร่งจัดกระบวนทัพใหม่
“อินโนบิก” โฟกัสธุรกิจยามากขึ้น
ดร.บุรณิน รัตนสมบัติ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจใหม่และความยั่งยืน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงธุรกิจ Life Science ภายใต้บริษัท อินโนบิก (เอเซีย) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ ปตท.ถือหุ้น 100% เป็นธุรกิจใหม่ที่ ปตท.มีแผนจะลดบทบาทลงว่า ขณะนี้อินโนบิกอยู่ระหว่างปรับพอร์ตโฟลิโอ โดยปี 2568 จะไม่เน้นการเติบโตแบบ Inorganic หรือการเติบโตจากภายนอก จากการควบรวม หรือซื้อกิจการ เหมือนเมื่อ 2 ปีก่อน แต่จะเป็นการโตแบบ organic รวมทั้งมีการทำ Operation Excellence และปรับปรุงกระบวนการต่างๆ
โดยปี 2568 อินโนบิกจะโฟกัสธุรกิจยามากขึ้น ส่วนธุรกิจอุปกรณ์เครื่องมือแพทย์จะยังไม่มีการลงทุนใหม่เพิ่มเติม แต่จะขยายตัวตามบริษัท นำวิวัฒน์ เมดิคอล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (NAM) ซึ่งอินโนบิกถือหุ้นอยู่ 15%
โดย ปตท.มีนโยบายจะให้อินโนบิกแยกออกมา (spin off) จาก ปตท. เป็น Independent Company หรือเป็นบริษัทเอกเทศที่ต้องพึ่งพาตนเองนั้น ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ เพราะในอดีตหลายธุรกิจใน ปตท.ก็แยกเป็นบริษัทออกมาเติบโต เพียงแต่บริษัทเหล่านั้นอยู่ในกลุ่ม Hydrocarbon Value Chain เดียวกัน ซึ่งอินโนบิกไม่ได้อยู่ใน Value Chain นี้ แต่เป็น New S-Curve ที่ปตท.มองเห็นโอกาสของประเทศไทยและเทรนด์โลกที่เข้าสู่ Health & Wellness โดยอินโนบิกได้เข้าไปลงทุนถือหุ้นใหญ่ 37% ในบริษัท โลตัส ฟาร์มาซูติคอล จำกัด (Lotus Pharmaceutical Company Limited : Lotus) เป็นบริษัทผู้ผลิตยาสามัญชั้นนำจากไต้หวัน ซึ่งประสบความสำเร็จมีกำไรในปีที่ 2 นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทฯ ซึ่งปี 2567 คาดว่าอินโนบิกทำกำไรมากกว่าทุกปี มาจากการขายหุ้นบริษัท อดัลโว (Adalvo) และได้รับเงินปันผลตามสัดส่วนการถือหุ้นใน Lotus ส่งผลให้อินโนบิกเป็นธุรกิจใหม่ของ ปตท.ที่ตั้งไข่ได้อย่างรวดเร็วเมื่อเทียบกับบริษัทอื่นในกลุ่มธุรกิจใหม่
เร่งหาพันธมิตรสร้างการเติบโต
อย่างไรก็ดี แม้ว่า Life Science จะเป็นธุรกิจที่ดี แต่ปตท.ไม่มีความเชี่ยวชาญ จึงมีแผนหาพันธมิตรธุรกิจที่มีความเชี่ยวชาญเข้ามาถือหุ้นเพื่อช่วยขยายธุรกิจ เพราะการทำธุรกิจยาอาศัยองค์ความรู้ในประเทศไทยไม่เพียงพอ จำเป็นที่บริษัทต้องมีองค์ความรู้ใหม่ๆ เพิ่มขึ้น มีพัฒนายาและพอร์ตยาปัจจุบันและอนาคต ดังนั้นการหาพันธมิตรจึงเป็นแนวทางที่เหมาะสม อาจจะให้กองทุนฯ เข้ามาลงทุนระยะกลางหรือยาวก่อนที่นำอินโนบิกขายหุ้น IPO เพื่อเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ หรืออาจจะควบรวมกับบริษัทพันธมิตรเพื่อให้พอร์ตยาเติบโตขึ้น
ยืนยันว่าอินโนบิกไม่มีปัญหาด้านเงินทุน ไม่ใช่ว่า ปตท.ไม่ใส่เงินให้ แต่เนื่องจาก ปตท.ต้องการหาพันธมิตรเพื่อทำให้อินโนบิกเติบโตได้ด้วยตัวเองและยังช่วยขยายธุรกิจในอนาคต ขณะเดียวกัน วันนี้ ปตท.เองก็มีภาระต้องดูแลในหลายเรื่อง
“ขณะนี้อินโนบิกอยู่ระหว่างการแต่งตัว การทำ Strategy ให้ชัดเจน โดยเราจะโฟกัสเรื่องยาให้มากขึ้น มีการนำงานวิจัยมาต่อยอดเชิงพาณิชย์และไลเซนส์ยา ฯลฯ จากนั้นจึงค่อยพูดคุยกับกองทุนฯ ที่สนใจ ยอมรับตลาดยาในเอเชียเติบโตมาก มีการใช้ยากับโรคใหม่ๆเยอะขึ้น ล่าสุด Lotus ก็เน้นขยายตลาดยามาในภูมิภาคอาเซียนมากขึ้น จากเดิมที่ทำตลาดยามะเร็งในสหรัฐฯ และยุโรป”
ล่าสุด Lotus ได้เข้าซื้อหุ้นสามัญทั้งหมดของบริษัท เทวา ฟาร์มา (ประเทศไทย) จํากัด เมื่อต้นเดือนสิงหาคม 2567 คิดเป็นมูลค่า 1,500 ล้านดอลลาร์ไต้หวัน หรือประมาณ 1,650 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามกลยุทธ์ของ Lotus ที่ต้องการขยายธุรกิจเพื่อเป็นผู้นําในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ในฐานะที่ Lotus ดําเนินธุรกิจหลักในการคิดค้นพัฒนา (R&D) ผลิตและจําหน่ายยา โดยมุ่งเน้นยาสามัญ (Generic drugs) ที่ครอบคลุมหลายกลุ่มโรค โดยเฉพาะกลุ่มโรคมะเร็งและกลุ่มโรคระบบประสาทส่วนกลาง ดังนั้น การลงทุนในเทวา ฟาร์มาฯ จะทําให้ Lotus สามารถต่อยอดและขยายช่องทางการจัดจำหน่ายยาในกลุ่มโรคจักษุวิทยา และกลุ่มโรคระบบทางเดินหายใจไปโรงพยาบาลและร้านยาในประเทศไทยได้มากขึ้น
ลั่น 2 ปีนี้ไม่มีการลงทุนขนาดใหญ่
อย่างไรก็ดี ภายใน 2 ปีนี้อินโนบิกยังไม่มีแผนการลงทุนโครงการใหญ่ เพราะยังไม่เจอธุรกิจไหนดีเหมือน Lotus ซึ่งปัจจุบันบริษัทอยู่ในช่วงทำ Operation Excellence จึงยังไม่มีแผนเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ในระยะอันใกล้ อีกทั้งอินโนบิกสามารถหาแหล่งเงินทุนได้เอง ไม่ว่าจากการกู้ยืมสถาบันการเงิน หรือดึงกองทุนฯที่สนใจเข้ามาลงทุนระยะยาวก่อนที่จะขายหุ้น IPO
ปัจจุบันอินโนบิกมีทุนจดทะเบียน 1.3 หมื่นล้านบาท ส่วนใหญ่เงินทุนนำไปใช้ในการซื้อหุ้น Lotus ล่าสุด ราคาหุ้น Lotus มีมูลค่าสูงขึ้นกว่าเงินลงทุนที่อินโนบิกใส่ไป ทำให้อินโนบิกนำเงินปันผลจากกำไรของ Lotus มาใช้ในการลงทุนรวมถึงขึ้นทะเบียนยาเพิ่มเติม
พับแผนตั้ง รง.ผลิตยามะเร็ง
ส่วนความคืบหน้าการร่วมลงทุนกับองค์การเภสัชกรรม (อภ.) ตั้งโรงงานผลิตยารักษามะเร็งนั้น ปัจจุบันโครงการดังกล่าวได้ยุติไปแล้ว เนื่องจากต้นทุนในการก่อสร้างโครงการสูง ไม่คุ้มการลงทุน และต้องใช้เวลานานกว่า 5-6 ปีเพื่อขอใบอนุญาตและขึ้นทะเบียนยา ซึ่งปัจจุบันไทยนำเข้ายารักษามะเร็งจากต่างประเทศได้อยู่
ก่อนหน้านี้ องค์การเภสัชกรรม (อภ.) ร่วมมือกับ ปตท. สร้างโรงงานผลิตยารักษาแบบจำเพาะเจาะจงต่อเซลล์มะเร็ง เป็นแห่งแรกของประเทศไทยในนิคมอุตสาหกรรมวนารมย์ของ ปตท. หรือ PTT WEcoZi อำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง หวังช่วยให้ผู้ป่วยมีสิทธิเข้าถึงยาที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพสูงมากขึ้น ลดภาระด้านค่าใช้จ่ายในการนำเข้ายาจากต่างประเทศที่มีมูลค่าปีละกว่า 21,000 ล้านบาท ซึ่งแต่ละปีคนไทยเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งมากกว่า 8 หมื่นคน โดยหวังว่าเริ่มก่อสร้างโรงงานในปี 2565 แล้วเสร็จผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในปี 2570
ปรับแผนการทำธุรกิจ Plant-Based
ส่วนธุรกิจผลิตโปรตีนจากพืช (Plant Based) บริษัท นิวทรา รีเจนเนอเรทีฟ โปรตีน จำกัด (Nutra Regenerative Protein Co. Ltd: NRPT) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างอินโนบิกกับบริษัท โนฟ ฟู้ดส์ จำกัดในเครือเอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์ (NRF) ได้ตั้งโรงงานผลิต Plant-Based ขึ้นในไทย เพื่อรับจ้างผลิต (OEM) โปรตีนจากพืช หวังเจาะตลาดร้านค้าในไทยและส่งออก ล่าสุดได้ปรับแผนการทำการตลาดใหม่ เนื่องจากวันนี้ตลาดไม่ได้ต้องการโรงงานผลิตแบบ OEM แต่จะต้องร่วมพัฒนาสูตรกับลูกค้าเพื่อผลิตเป็นอาหาร Plant-Based ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีลูกค้าทั้งในสหรัฐฯ ยุโรป และเอเชีย โดยมองว่าตลาดผลิตภัณฑ์โปรตีนจากพืชในไทยยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก
ปัจจุบันโรงงานผลิตโปรตีนจากพืชของบริษัทได้ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยอาหารสากล “BRC Global Food Safety Standard (Issue 9): BRC” ในระดับ Grade A และได้รับการรับรองมาตรฐาน BRCGS Plant-Based ด้านการผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารจากพืชเป็นบริษัทแรกในภูมิภาคอาเซียน รวมทั้งได้มาตรฐานฮาลาล
ให้เวลา 1 ปี Foxconn ชัดเจนโครงการผลิตอีวี
ดร.บุรณินกล่าวว่า สภาพการแข่งขันตลาดยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี) ในไทยรุนแรงมาก ทำให้ ปตท.ชะลอการลงทุนโครงการผลิตรถอีวีที่ร่วมกับกลุ่ม Foxconn จากไต้หวันไปปีกว่า เพื่อดูแนวโน้มตลาดรถอีวีจะดีขึ้นหรือไม่ ซึ่ง ปตท.วิเคราะห์เห็นว่า การตั้งโรงงานผลิตรถอีวี ทาง ปตท.ไม่มีความได้เปรียบคู่แข่ง เมื่อค่ายรถอีวีรายใหญ่จากจีนแห่ลงทุนมาตั้งฐานการผลิตในไทย ส่วนบางรายก็นำเข้ารถอีวีมาจำหน่ายในไทย ทำให้แผนตั้งโรงงานผลิตอีวีแบบ OEM เกิดได้ยาก และมีต้นทุนสูง แข่งขันลำบาก
ล่าสุด ปตท.ได้ปรับโครงสร้างการถือหุ้นบริษัท ฮอริษอน พลัส จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างบริษัท อรุณ พลัส จํากัด ในเครือ ปตท. กับบริษัท ลี่ยี่ อินเตอร์เนชั่นแนล อินเวสเมนท์ จํากัด ในเครือ Foxconn โดยอรุณ พลัส ลดสัดส่วนการถือหุ้นใน “ฮอริษอน พลัส” ลงจากเดิม 60% เหลือ 40% และเปิดทางให้ “ลี่ยี่ อินเตอร์เนชั่นแนล” เป็น Lead ถือหุ้นใหญ่ 60% เพื่อกำหนดทิศทางการดำเนินธุรกิจผลิตรถอีวีในอนาคต
ทั้งนี้ ฮอริษอน พลัส ดําเนินการลดทุนจดทะเบียนที่ชําระแล้ว เป็นจํานวนเงินประมาณ 5,100 ล้านบาท คงเหลือทุนจดทะเบียนเรียกชำระแล้ว 5,400 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามนโยบายการปรับโครงสร้าง การดําเนินธุรกิจเพื่อให้สอดคล้องกับแผนกลยุทธ์ของ ปตท. คาดว่าจะดําเนินการลดทุนจดทะเบียนแล้วเสร็จภายในเดือน มิ.ย. 2568
โดย ปตท.ได้กำหนดเงื่อนเวลาภายใน 1 ปีนับจากนี้ ทางกลุ่ม Foxconn ต้องมีความชัดเจนว่าจะดำเนินโครงการนี้อย่างไร รวมไปถึงการเปิดโอกาสหาพันธมิตรใหม่ด้วย
ในเมื่อเทรนด์โลกมุ่งสู่ธุรกิจอีวี เพียงแต่ ปตท.ต้องพิจารณาว่าเลือกเป็นผู้เล่นใน EV Value Chain ที่จุดที่ ปตท.มีศักยภาพในการแข่งขัน นั่นคือ ธุรกิจ EV Charging เนื่องจาก OR มีสถานีบริการ PTT Station กระจายอยู่ทั่วประเทศ ดังนั้นการติดตั้งสถานี EV Charging จึงเป็นธุรกิจที่ ปตท.โฟกัส เพื่อขยายการลงทุนต่อไป
ก่อนหน้านี้ ฮอริษอน พลัส มีเป้าหมายที่จะก่อตั้งโรงงานผลิตอีวีบนพื้นที่กว่า 350 ไร่ ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC โดยมีแผนผลิตเชิงพาณิชย์ยานยนต์ไฟฟ้า 4 ล้อ ออกสู่ตลาดได้ภายในปี 2567 ด้วยกำลังการผลิตเริ่มแรกที่ 50,000 คันต่อปี และตั้งเป้าจะขยายกำลังการผลิตไปถึง 150,000 คันต่อปีภายในปี 2573 แต่สภาพตลาดรถอีวีที่เปลี่ยนแปลงไป และการแข่งขันที่นับวันทวีความรุนแรง และสถาบันการเงินชะลอการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ จึงเห็น ปตท.ส่งสัญญาณถอยออกจากธุรกิจ