ผู้จัดการรายวัน 360 - สมูทอี อัดงบ 200 ล้านบาท ลุยปี 68 เดินเกมส์สกินแคร์เต็มกำลัง ตอบโจทย์เทรนด์ผิวอ่อนแอแพ้ง่ายสูงถึง 40% ภายใต้ 3 กลยุทธ์หลัก คือ ผู้นำเวชสำอาง, ผลิตภัณฑ์ใหม่ เพื่อผิวแพ้ง่าย และแบรนด์แอมบาสเดอร์คู่ใหม่ “หลิง-ออม” ปักธงรายได้ปีนี้ต้องทะลุ 1,000 ล้านบาท หรือโต 2 หลัก
นายธนชัย ชัยกิตติวนิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สมูทอี บริษัท จำกัด เปิดเผยว่า ตลอด 33 ปี ที่สมูทอีได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภคชาวไทย ไม่เคยหยุดนิ่งในการพัฒนานวัตกรรมเพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคที่ต้องการผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพ เห็นผลจริง อ่อนโยน ไม่ทำร้ายผิวตลอดมา บวกกับเทรนด์ที่พบว่า 40% ของคนไทยมีผิวบอบบางและแพ้ง่ายมากขึ้น อันเกิดจากมลภาวะ และไลฟ์สไตล์ความสวยความงามที่ชอบลองใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ มากขึ้น ส่งผลให้ความต้องการผลิตภัณฑ์ที่บรรเทาอาการแพ้ ต้องอ่อนโยนและทำให้ผิวแข็งแรงมากขึ้น ดังนั้นในปี2568นี้สมูทอีจึงพร้อมรุกตลาดเวชสำอางครั้งใหญ่ในรอบ 4 ปี นับแต่โควิดเป็นต้นมา ด้วยการทุ่มงบกว่า 200 ล้านบาท ทำการตลาดภายใต้ 3 กลยุทธ์หลัก คือ ผู้นำเวชสำอาง, ผลิตภัณฑ์ เพื่อผิวแพ้ง่าย และแบรนด์แอมบาสเดอร์ คู่ใหม่ “หลิง-ออม”
“แผนงานในปีนี้ถือเป็นการรีแบรนด์ในรูปแบบของการสร้างการรับรู้ออกไปให้ดังกว่าเดิม ให้แบรนด์สมูทอีแข็งแกร่งขึ้น ให้ผู้บริโภคได้มองเห็นเรามากขึ้น ในฐานะผู้นำเวชสำอาง กับผลิตภัณฑ์ที่จะช่วยให้สวยพร้อมสุขภาพผิวที่ดีและแข็งแรงยั่งยืน โดยจะโฟกัสใน 3 เรื่อง คือ ผลิตภัณฑ์ ขยายกลุ่มเป้าหมายใหม่ และยอดขายที่ต้องโตอีก 2หลัก หรือสิ้นปี 2568 นี้ บริษัทจะต้องมีรายได้เกิน 1,000 ล้านบาท จากปีก่อนปิดที่ 900 ล้านบาท โต 2 หลักจากปีก่อนหน้า“ นายธนชัย กล่าว
ด้านเภสัชกรศุภาพิชญ์ พิทยานุกุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด บริษัท สยามเฮลท์ กรุ๊ป จำกัด กล่าวเสริมว่า สำหรับ3
กลยุทธ์ที่จะใช้ขับเคลื่อนในปีนี้ ประกอบด้วย1.กลยุทธ์ผู้นำเวชสำอาง ด้วยการตอกย้ำชูจุดยืนใหม่ คือ “อ่อนโยน…มีประสิทธิภาพเห็นผล”นำเอาความเชี่ยวชาญของสมูทอีกว่า 30 ปี มาสร้างสรรค์นวัตกรรมสกินแคร์ที่เป็น The Right Solutionsอ่อนโยนแต่เห็นผลจริง พิสูจน์โดยผู้เชี่ยวชาญด้านผิวพรรณเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคไทยที่มีผิวบอบบางทุกเจนอย่างลงตัว ซึ่งจุดยืนใหม่ของสมูทอีครั้งนี้ ถือเป็นพลิกโฉมการทำตลาดครั้งใหญ่หวังตะโกนหรือสร้างการรับรู้ออกไปให้ดังขึ้นเพื่อให้ผู้บริโภครู้จักสมูทอีในฐานะผู้นำเวชสำอางที่อ่อนโยนและมีประสิทธิภาพ
2.กลยุทธ์ผลิตภัณฑ์ใหม่ ปีนี้สมูทอีจะมีการนำเสนอสินค้านวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง ในกลุ่มสกินแคร์เพื่อผิวบอบบางสวยสุขภาพดีครบวงจร โดยต้นปีนี้จะเน้นผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับสิว ไวท์เทนนิ่ง และแอนไทเอจจิ้ง และไตรมาสสองจะมีออกมาอีก 2-3 นวัตกรรม ส่วนไตรมาสสี่จะมีอีกอย่างน้อย 1 นวัตกรรม
ล่าสุดในเดือนม.ค.นี้ พร้อมเปิดตัวนวัตกรรมเวชสำอาง เพื่อผิวบอบบางกับ 3 สเต็ปง่ายๆ คือ ล้าง บำรุง และปกป้อง ได้แก่ สมูทอี ซัน แอสตาแซนธิน เซรั่มกันแดดเจนใหม่ ไม่ใช่แค่กันแดดแต่ยังต้านอนุมูลอิสระจากแดด จำหน่ายในขนาด15 มล. ราคา 600 บาท และขนาด30 มล. ราคา 1,200บาท และในเดือนมี.ค.จะเปิดตัวผลิตภัณฑ์เอสเซนเชียลแคร์ เช่น สมูท อี นัน ไอออนนิก พีเอช ไฟว์ นิวเจน โฟมล้างหน้าสูตรไม่มีฟองใหม่ ส่วนกลุ่มผลิตภัณฑ์บำรุงผิว จะเปิดตัว สมูทอี คลินิกคัล เซรั่ม ตอกย้ำจุดยืน “อ่อนโยน…มีประสิทธิภาพเห็นผล” มี4 สูตร ได้แก่ สูตรลดรอยสิว สูตรผิวกระจ่างใส สูตรลดริ้วรอย และสูตรเพิ่มความชุ่มชื้น
3.แบรนด์แอมบาสเดอร์ กับการเปิดตัว “หลิง-ออม” นิวเฟซออฟสมูทอีคู่ใหม่ เพื่อต้องการสร้างการมีส่วนร่วมในกิจกรรมตลอดปี หวังมัดใจผู้บริโภคทุกเจนตั้งแต่ Gen X, Gen Yและขยายฐานสู่ Gen Zโดย “หลิงหลิง- ศิริลักษณ์ คอง” และ “ออม-กรณ์นภัส เศรษฐรัตนพงศ์” เป็นสองนักแสดงสาวดาวรุ่งที่กำลังเป็นกระแสอย่างมากในเวลานี้ โดยหลิงเองเป็นคนที่มีเสน่ห์และมั่นใจ ส่วนออมก็มีความอ่อนโยนและสนุกสนาน หลิง-ออมจึงเป็นคู่ดาราที่สะท้อนจุดยืน “อ่อนโยน…มีประสิทธิภาพเห็นผล” ของสมูทอีได้อย่างลงตัว
”การดึง หลิง-ออม มาเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ หรือนิวเฟซออฟสมูทอีคู่ใหม่ในครั้งนี้ เป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยให้สมูทอีเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายใหม่ที่เด็กลงมากขึ้นอย่างเจน Z และวัยรุ่น จากปัจจุบันฐานลูกค้าหลัก คือ เจน x และเจน y ที่สำคัญจะช่วยเข้าถึงตลาดต่างประเทศ ที่สมูทอีมีแผนรุกตลาดต่างประเทศหลังจากนี้ จากที่ทำตลาดอยู่แล้วในเวียดนามและมาเลเซีย“
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันตลาดสกินแคร์มีมูลค่า 35,000 -40,000 ล้านบาท ปีก่อนโต 12% ขณะที่ในกลุ่มเวชสำอางเติบโต 15%หรือมีมูลค่าที่ 15,000 ล้านบาท โดยสมูทอีเป็นผู้นำตลาด มีส่วนแบ่ง9%.