xs
xsm
sm
md
lg

“เอกา โกลบอล” ลั่น5ปีโตทุกปี10-15% ฟุ้งยอดขายที่อินเดียพุ่งดันรายได้1.4พันล.

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

  • • การเติบโตมาจากการรับรู้รายได้โรงงานบรรจุภัณฑ์ในอินเดีย
  • • คาดการณ์เติบโตต่อเนื่อง 10-15% ใน 5 ปีข้างหน้า
  • • วางแผนพัฒนา "กรีนโพรดักส์" บรรจุภัณฑ์รีไซเคิลได้ 100% และจากวัสดุชีวภาพ


“เอกา โกลบอล”ตั้งเป้ารายได้ปี68 อยู่ที่ 1,400 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากการรับรู้รายได้โรงงานบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหารที่อินเดีย ลั่น5ปีโตต่อเนื่อง 10-15% พร้อมกำหนดโรดแมป “กรีนโพรดักส์”ผลิตบรรจุภัณฑ์ฯที่รีไซเคิลได้ 100% และบรรจุภัณฑ์จากเม็ดพลาสติกPCR-Biodegradable

นายชัยวัฒน์ นันทิกุล ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอกา โกลบอล จำกัด ผู้นำตลาดนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหาร (Longevity Packageing)เป็นบรรจุภัณฑ์ชนิดพลาสติกขึ้นรูป(Rigid Barrier Plastic Packaging) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้ใน 5ปีนี้ (2568-2572) จะเติบโตเฉลี่ยปีละ 10-15% มาจากการรับรู้รายได้โรงงานผลิตบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหารแห่งใหม่ในประเทศอินเดียมีกำลังการผลิต 300ล้านชิ้นต่อปีโดยบริษัทมีแผนจะเพิ่มกำลังการผลิตโรงงานในอินเดียเป็น 1,000ล้านชิ้นต่อปีในปี2572

ทั้งนี้ อินเดียเป็นตลาดที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงมาก เนื่องจากคนอินเดียนิยมทานขนมหวาน ทำให้แต่ละปีบริษัทมีคำสั่งซื้อสินค้าบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหารโตขึ้นเฉลี่ยปีละ 100% โดยบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหารช่วยให้ลูกค้าสามารถขยายตลาดได้เพิ่มขึ้นโดยไม่ต้องเปิดร้านหรือสาขาเพิ่มขึ้นในแต่ละเมือง และยังเจาะตลาดโมเดิร์นเทรดได้ด้วย ขณะที่การเติบโตทางเศรษฐกิจ(GDP ) ของประเทศอินเดียในปี2567-2568 คาดว่าจะโตมากกว่า 7% จึงเป็นเหตุผลทำให้บริษัทตัดสินใจตั้งโรงงานผลิตบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหารที่เมืองปูเน่เพิ่งเดินเครื่องจักรเมื่อกลางปี2567 ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีฐานลูกค้าเอสเอ็มอีผู้ผลิตอาหารและขนมหวานในอินเดียมากกว่า 300-400ร้าน


ทั้งนี้ บริษัทยังมีแผนส่งเครื่องจักรจากประเทศไทยไปยังอินเดียในปลายปี2568 เพื่อขยายกำลังการผลิตบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหาร จากปัจจุบันมีใช้อัตรากำลังผลิตโรงงานที่อินเดียราว70%ของกำลังการผลิตเครื่องจักรที่ 300ล้านชิ้นต่อปี ทำให้มีกำลังผลิตเพิ่มเป็น 400ล้านชิ้นในปี2568 และ1,000ล้านชิ้นในปี2572 ใกล้เคียงกำลังการผลิตของโรงงานที่ไทยในปัจจุบัน โดยบริษัทคาดว่ายอดขายที่อินเดียโตเฉลี่ยปีละ 40%ต่อเนื่องไป5ปีข้างหน้า

นายชัยวัฒน์ กล่าวถึงแผนการตลาดในไทย ว่า ปัจจุบันบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหารถูกนำมาใช้บรรจุอาหารหลากชนิด หลายรูปแบบจะเห็นในทุกชั้นวางสินค้าโมเดิร์นเทรด โดยLongevity Packaging เป็นบรรจุภัณฑ์ชนิดพลาสติกขึ้นรูป ผลิตจากเม็ดพลาสติกที่มีคุณสมบัติชนิดพิเศษ ช่วยรักษาคุณภาพอาหาร รสชาติ สะอาดปลอดภัย และยังสามารถเก็บรักษาและยืดอายุอาหารได้นาน 2ปีโดยไม่ต้องแช่ตู้เย็น ซึ่งปัจจุบันในไทยมีผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหารเพียง 2ราย คือบมจ.เอสซีจี แพคเกจจิ้ง หรือ SCGP และบริษัท เอกา โกลบอล จำกัด ซึ่งโอกาสที่คู่แข่งจะเข้าเปิดตลาดได้ยาก เพราะต้องมีการเทสต์ว่าบรรจุภัณฑ์นั้นยืดอายุอาหารได้นานตามที่กำหนดไว้2ปี โดยเริ่มแรกยังไม่สามารถขายสินค้าได้จนกว่าจะทดสอบผ่าน หากไม่ผ่านการทดสอบก็ต้องทำใหม่ ซึ่งกินเวลานานหลายปีกว่าที่ลูกค้าจะยอมรับ จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมคู่แข่งถึงน้อย


บรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหาร มีน้ำหนักเบาสะดวกแก่การขนส่ง เหมาะสำหรับสินค้าส่งออก โดยสามารถใช้บรรจุอาหารพร้อมรับประทาน (Ready-to-Eat) ทั้งแบบบรรจุในถุงและพาสเจอไรซ์ หรือถ้วย อาทิ ขนมหวาน กาแฟแคปซูล ซุป ฯลฯ ตามประเภทการใช้งานดังนี้คือ บรรจุภัณฑ์สำหรับผลไม้แปรรูป , บรรจุภัณฑ์สำหรับอาหารเด็ก, บรรจุภัณฑ์สำหรับข้าวหุงสำเร็จ,บรรจุภัณฑ์สำหรับอาหารปลาและอาหารทะเล ,บรรจุภัณฑ์สำหรับผลิตภัณฑ์นม ,บรรจุภัณฑ์สำหรับอาหารสัตว์ เป็นต้น ซึ่งประเทศไทยเป็นฐานการผลิตอาหารของโลก ดังนั้นส่วนใหญ่ลูกค้าของบริษัทจะใช้บรรจุอาหารเพื่อส่งออกต่างประเทศ เช่นบรรจุภัณฑ์อาหารทะเล ผลไม้แปรรูป อาหารสัตว์เลี้ยง ฯลฯ ทำให้บริษัทไม่ได้รับผลกระทบมากนักจากตลาดในประเทศไทยที่เติบโตต่ำ


นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า จากกระแสบริษัทยังมุ่งสู่การเป็นองค์กรนวัตกรรมและเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy)อย่างสมบูรณ์เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยกำหนด”กรีนโปรดักส์” เป็นโรดแมปธุรกิจ โดยบริษัทให้ความสำคัญต่อการวิจัย และพัฒนา ออกแบบบรรจุภัณฑ์ใหม่ๆที่ทันสมัยและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ของเอกา โกบอล สามารถรีไซเคิลได้ 100% และมีศูนย์วิจัยและพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นบรรจุภัณฑ์Biodegradable ที่ผลิตจากวัตถุดิบธรรมชาติทั้งหมดและสามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ และบรรจุภัณฑ์ที่ผลิตจากเม็ดดพลาสติกรีไซเคิล (PCR)หรือเรซิน รีไซเคิล แม้ว่าปัจจุบันยอดขายบรรจุภัณฑ์Biodegradable และPCRจะยังน้อยอยู่แต่เชื่อว่าในอนาคตจะมากขึ้น เหตุกระแสรักษ์โลกจะกดดันให้ไทยมีการแยกขยะอย่างจริงจังและมีการรีไซเคิลพลาสติกมากขึ้น

ทั้งนี้บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี2568อยู่ที่ 1,400ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี2567ที่มีรายได้รวม 1,100-1,200ล้านบาท การเติบโตมาจากการรับรู้รายได้โรงงานที่อินเดียเป็นหลัก ขณะที่ตลาดในประเทศก็มีการขยายตัวโดยมีออเดอร์บรรจุภัณฑ์ฯอาหารสัตว์เลี้ยง เป็นต้น


ส่วนแผนการลงทุนในปี2568 บริษัทไม่มีแผนลงทุนใหม่ เนื่องจาก10ปีที่ผ่านมามีการลงทุนต่อเนื่อง โดยปกติจะใช้เงินลงทุนปีละ50-60ล้านบาท อย่างไรก็ดีในปลายปี2568จะตัดสินใจอีกครั้งว่าจะมีการลงทุนเพิามเติมหรือไม่ เช่นเดียวกับการพิจารณาการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ หากบริษัทมีการลงทุนใหญ่ก็จะเลือกระดมทุนในตลาดหุ้น แต่ปัจจุบันยังไม่มีความคิดนำบริษัทฯเข้าตลาดหุ้น


กำลังโหลดความคิดเห็น