xs
xsm
sm
md
lg

ปตท.นำร่องโครงการ CCS-ไฮโดรเจน ลุยธุรกิจคาร์บอนต่ำสู่เป้า Net Zero 2050

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

  • • พลังงานเป็นพื้นฐานการพัฒนาโลก แต่ก่อความวุ่นวายทางภูมิรัฐศาสตร์
  • • การใช้พลังงานเพิ่มขึ้นอย่างมาก ทำให้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้น 46% ตั้งแต่ปี 2000
  • • (ข้อความต้นฉบับขาดรายละเอียดประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจก จึงไม่สามารถสรุปได้ในข้อนี้)


พลังงานเป็นพื้นฐานของการพัฒนาโลก แต่ก็เป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดความวุ่นวาย ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitic) ซึ่งการใช้พลังงานที่เพิ่มมากขึ้นส่งผลให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงขึ้นถึง 46% จากปี ค.ศ. 2000 โดยมีประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากคือ จีน สหรัฐอเมริกา รัสเซีย ขณะที่ไทยมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกไม่ถึง 1% ของโลก แต่ไทยกลับเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากสุดติดอันดับ Top10 ของโลก

จากเหตุการณ์อุทกภัยที่จังหวัดเชียงรายและหลายจังหวัดภาคเหนือที่เกิดขึ้นในช่วงเดือนกันยายน ปี 2567 และกำลังเกิดขึ้นที่ภาคใต้ในหลายจังหวัด ล้วนสะท้อนถึงผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจากภาวะโลกเดือดได้เป็นอย่างดี

“วันนี้คงไม่ต้องถามว่าทำไมเราต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพราะเป็นสิ่งที่เราต้องทำเพื่อช่วยโลก รวมถึงช่วยตัวเราเอง เพื่อให้มนุษยชาติอยู่ได้” นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวในงานสัมมนา iBusiness Forum “2025 Net Zero กับความท้าทายของเศรษฐกิจโลกยุคใหม่ Net Zero and the Challenges of The New Global Economy”

วันนี้เรามุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero ในปี ค.ศ. 2050 (พ.ศ. 2593) โดยทิศทางของโลกทั้งเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) การใช้พลังงานสะอาดขึ้น Digital Transformation ของอุตสาหกรรมต่างๆ ในโลก ล้วนมีบทบาทสำคัญในการกำหนดเศรษฐกิจ ทิศทางอุตสาหกรรม และการใช้พลังงาน


การใช้ก๊าซฯ พุ่งในยุคเปลี่ยนผ่านพลังงาน

ดร.คงกระพันกล่าวว่า ในช่วงการเปลี่ยนผ่านพลังงานสู่พลังงานสะอาด ก๊าซธรรมชาติยังเป็นเชื้อเพลิงที่มีบทบาทสำคัญต่อเนื่องอีก 20-30 ปีข้างหน้า เพราะพลังงานหมุนเวียน โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR) และไฮโดรเจน ยังมีข้อจำกัดอยู่และต้องใช้เวลาในการพัฒนาอีกระยะหนึ่ง

หากกล่าวถึงความยั่งยืนจะต้องสมดุลทั้งเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งประเทศในอาเซียนรวมถึงไทยเป็นประเทศกำลังพัฒนาเศรษฐกิจ และประเทศส่วนใหญ่ในอาเซียนมีแหล่งก๊าซธรรมชาติเองไม่ว่าจะเป็นไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย เมียนมา ซึ่งมีต้นทุนที่ต่ำกว่าการนำเข้าพลังงานชนิดอื่น ดังนั้น ก๊าซธรรมชาติจึงเป็นเชื้อเพลิงที่มีความสำคัญในภูมิภาคนี้ต่อเนื่องไปอีก 20-30 ปี และต้องทำควบคู่กับการลดคาร์บอนด้วย

ปัจจุบันไทยใช้ก๊าซธรรมชาติที่ผลิตเองราว 50% ของความต้องการใช้ ส่วนที่เหลือได้นำเข้าจากต่างประเทศในรูปก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) 40% และนำเข้าก๊าซธรรมชาติจากเมียนมาอีก 10% ส่วนน้ำมัน ไทยนำเข้ามากถึง 90% ดังนั้น ก๊าซธรรมชาติจึงยังคงเป็นเชื้อเพลิงหลักที่สำคัญของไทยอยู่

ทั้งนี้ ประเทศไทยได้ประกาศเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี ค.ศ. 2050 (พ.ศ. 2593) และปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ภายในปี ค.ศ. 2065 (พ.ศ. 2608) ขณะที่บริษัทน้ำมันชั้นนำระดับโลกส่วนใหญ่มีเป้าหมาย Net Zero Emissions ในปี ค.ศ. 2050 เช่นเดียวกับ ปตท.

สำหรับแนวทางเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย Net Zero นั้น มีทั้งโครงการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture and Storage :CCS) การใช้พลังงานหมุนเวียน ไฮโดรเจน รวมถึงโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR) ซึ่งปัจจุบันโครงการ CCS มีการพัฒนาโครงการเพิ่มมากขึ้นในต่างประเทศ เช่นสหรัฐอเมริกามีมากกว่า 100 แห่ง และยุโรปก็มีมากเช่นกัน สาเหตุที่โครงการ CCS เกิดขึ้นได้เพราะภาครัฐให้การสนับสนุนส่งเสริม ขณะที่ฝั่งเอเชียยังมีโครงการ CCS ค่อนข้างน้อย โดยประเทศไทยก็มีศักยภาพในการพัฒนาโครงการ CCS


นอกจากนี้ ทั่วโลกตื่นตัวการพัฒนาการผลิตและใช้บลูและกรีนไฮโดรเจน ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงสะอาดเพิ่มมากขึ้น ขณะที่ประเทศไทยก็มีการใช้ไฮโดรเจนบ้างแล้วในบางอุตสาหกรรม เช่น กลุ่มปิโตรเคมีและโรงกลั่นในเครือ ปตท. มีการผลิตและใช้ไฮโดรเจนสีเทา (Gray Hydrogen) ในกระบวนการผลิต แม้ว่าจะเป็นจุดเริ่มต้น แต่ก็ต้องพัฒนาต่อไปเพื่อขยับสู่บลูและกรีนไฮโดรเจน

แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (PDP) ฉบับใหม่ระบุการใช้ไฮโดรเจนราว 5% ผสมในก๊าซธรรมชาติเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงในโรงไฟฟ้าในช่วงปีค.ศ2030 แม้ปัจจุบันไฮโดรเจนมีราคาแพง แต่ในอนาคตด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาและความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้นจะทำให้ราคาไฮโดรเจนค่อยๆ ถูกลง

ดร.คงกระพันกล่าวว่า ปตท.ในฐานะบริษัทพลังงานแห่งชาติ มุ่งดำเนินธุรกิจบนหลักการ “ความยั่งยืนอย่างสมดุล” ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และการกำกับดูแลกิจการที่ดี ภายใต้วิสัยทัศน์ "ปตท.แข็งแรงร่วมกับสังคมไทย" และ "เติบโตในระดับโลก" อย่างยั่งยืน

ตอกย้ำว่า ปตท.แข็งแรง ประเทศชาติก็แข็งแรงไปด้วย การเติบโตของ ปตท.ในประเทศไทยทำได้แค่ระดับหนึ่ง แต่หากต้องการเติบโตมากขึ้น ปตท.จะต้องไปโตในต่างประเทศ ทำให้รายได้ของ ปตท.เกินกว่า 50% จึงมาจากต่างประเทศ


ปตท.นำร่องโครงการ CCS

ดร.คงกระพันกล่าวต่อไปว่า โครงการ CCS เป็นโครงการสำคัญที่จะช่วยให้ปตท.และประเทศไทยบรรลุเป้าหมาย Net Zero ซึ่ง ปตท.มีแผนจะลงทุนเพื่อเก็บคาร์บอนที่ปล่อยจากโรงงานต่างๆ ในกลุ่มปตท.เพื่อนำไปกักเก็บในอ่าวไทย โดยปตท.จะลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ ท่อและถังเก็บคาร์บอน รวมทั้งประสานกับภาครัฐเพื่อออกกฎหมายรองรับการนำคาร์บอนเก็บในทะเล ขณะที่บริษัทลูก คือ บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม หรือ ปตท.สผ.ที่มีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมมากว่า 30 ปีจะเป็นแกนนำในการพัฒนาโครงการ CCS โดยเริ่มทดลองทำ sandbox ในแหล่งอาทิตย์ จัดเก็บคาร์บอนได้ 1 ล้านตันคาร์บอน โดยเริ่มผลิตก๊าซฯ แล้วแยกคาร์บอนจากแท่นผลิตฯ แล้วอัดกลับในทะเล แต่หากทำจริงจะเป็นการนำคาร์บอนที่ปล่อยจากอุตสาหกรรมที่กักเก็บไว้ในถังเก็บฯ บนบกแล้วลำเลียงผ่านท่อฯ มากักเก็บในหลุมก๊าซฯ ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์แล้ว

อย่างไรก็ดี โครงสร้างทางธรณีในอ่าวไทยสามารถกักเก็บคาร์บอนหรือ CCS ได้ 2 วิธี คือ 1. กักเก็บคาร์บอนในหลุมก๊าซฯ ที่ไม่ได้ใช้แล้ว เบื้องต้นแหล่งอาทิตย์สามารถกักเก็บคาร์บอนได้ราว 1 ล้านตันคาร์บอน 2. การกักเก็บในชั้นน้ำเกลือที่มีความเข้มข้น โดยนำคาร์บอนไปละลาย (Saline Aquifer) ทำได้บริเวณชายฝั่งทะเล ซึ่งหากดำเนินการได้จะสามารถกักเก็บคาร์บอนได้จำนวนมาก

ดังนั้นโครงการ CCS จึงไม่ใช่ต้นทุน แต่เป็นโอกาสทางธุรกิจ เนื่องจากโครงการ CCS จะให้พันธมิตรหรืออุตสาหกรรมต่างๆ นอกเหนือจากกลุ่ม ปตท.ที่สนใจเข้ามาร่วมด้วย หลังประสบความสำเร็จ ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนฯ ของภาคอุตสาหกรรม ซึ่งขณะนี้ ปตท.อยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้และคัดเลือกเทคโนโลยี รวมทั้งเจรจาภาครัฐเพื่อออกกฎหมายรองรับ คาดว่าโครงการ CCS จะเกิดขึ้นภายหลังปี ค.ศ. 2030

"การเดินหน้าโครงการไฮโดรเจนและโครงการ CCS ควรทำควบคู่กันไป แต่คาดว่าไฮโดรเจนอาจจะเห็นก่อน เบื้องต้นสามารถนำเข้าไฮโดรเจนจากต่างประเทศมีต้นทุนต่ำมาใช้ก่อน ซึ่งปัจจุบันไฮโดรเจนมีราคาสูง เพราะต้องเก็บในรูปแอมโมเนียเหลวเพื่อสะดวกในการขนส่งทางเรือ โดยจะต้องมีการลงทุนสร้างคลังเก็บ ขณะที่โครงการ CCS ต้องใช้เวลารอกฎหมายรองรับ" ดร.คงกระพันกล่าว

อย่างไรก็ดี เนื่องจากกลุ่ม ปตท.มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ เป็นจำนวนค่อนข้างมาก การซื้ออาจไม่ตอบโจทย์ จึงมีโอกาสที่ ปตท.จะลงทุนเทคโนโลยี คาดว่าจะมีความชัดเจนในปี พ.ศ. 2568

พร้อมย้ำว่า การลงทุนโครงการต่างๆ ของปตท.จะต้องผ่านเกณฑ์ผลตอบแทนการลงทุนขั้นต่ำตามที่กำหนด จะไม่ลงทุนอะไรที่ขาดทุน

ทั้งนี้ การเปลี่ยนผ่านพลังงานจึงเป็นสิ่งที่ทั่วโลกตระหนักและให้ความสำคัญเช่นเดียวกับไทย แม้ว่าความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติจะยังมีต่อเนื่องไปอีกหลายสิบปีแต่ก็ต้องลดคาร์บอนควบคู่กันไปด้วย รวมถึงการสนับสนุนพลังงานหมุนเวียน โครงการ CCS และไฮโดรเจน เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยที่ประเทศไทยยังคงรักษาความสามารถในการแข่งขันได้


กำลังโหลดความคิดเห็น