- • รฟท.เตรียมซื้อรถจักรดีเซลไฟฟ้า 113 คัน รองรับการขนส่งสินค้าเพิ่มขึ้นหลังทางคู่แล้วเสร็จ
- • รฟท.เตรียมเปิดใช้ทางคู่ ช่วงลพบุรี-ปากน้ำโพ ในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2568
รฟท.หารือ กมธ.คมนาคม วุฒิสภา เช็กรายได้โดยสาร-สินค้าเพิ่มขึ้น "วีริศ" เผยเตรียมซื้อรถจักรดีเซลไฟฟ้า 113 คันรองรับขนส่งสินค้าหลังทางคู่เสร็จ เตรียมเปิดใช้ "ทางคู่" ช่วงลพบุรี-ปากน้ำโพ เทศกาลปีใหม่ 68 นี้
เมื่อวันที่ 22 พ.ย. 2567 นายวุฒิชาติ กัลยาณมิตร ประธานคณะกรรมาธิการการคมนาคม วุฒิสภา พร้อมด้วยคณะกรรมาธิการการคมนาคม วุฒิสภา เดินทางไปยังการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับผลการดำเนินงานในปี 2567 แนวทางการดำเนินงานของการรถไฟฯ ในปีงบประมาณ 2568 และความคืบหน้าการดำเนินโครงการสำคัญที่อยู่ในความรับผิดชอบของการรถไฟฯ โดยนายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย ให้การต้อนรับ
นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า คณะกรรมาธิการการคมนาคม วุฒิสภา และการรถไฟฯ ได้มีการหารือและพิจารณาแนวทางการพัฒนาการดำเนินงานในทุกมิติ ทั้งในด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การเพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการผู้โดยสารและการขนส่งสินค้า รวมถึงการยกระดับระบบรางของไทยให้ตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้บริการ มุ่งเน้นการสร้างรายได้และความยั่งยืนให้แก่การรถไฟฯ ซึ่งสอดรับกับพันธกิจสำหรับการฟื้นฟูของการรถไฟฯ ที่ต้องการสร้างรายได้และการเติบโตทางเศรษฐกิจ พัฒนาระบบการขนส่งให้มีประสิทธิภาพ ลดต้นทุนการขนส่งของประเทศ ผ่านโครงข่ายคมนาคมที่ครอบคลุม เข้าถึงได้ และราคาที่เป็นธรรม
ปัจจุบันการรถไฟฯ ให้บริการขบวนรถโดยสารแบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่ ขบวนรถโดยสารเชิงสังคม จำนวน 146 ขบวน/วัน และเชิงพาณิชย์ จำนวน 74 ขบวน/วัน รวมทั้งสิ้น 220 ขบวน/วัน ซึ่งมีปริมาณการขนส่งผู้โดยสารในปี 2567 ประมาณ 30,870,000 คน นับเป็นรายได้กว่า 3,921.30 ล้านบาท นอกจากนี้ การรถไฟฯ ยังสามารถให้บริการขนส่งสินค้า จำนวน 62 ขบวน/วัน โดยในปี 2567 มีปริมาณการขนส่งเพิ่มขึ้นจากเดิม 12,8000,000 ตัน นับเป็นรายได้กว่า 2,122.60 ล้านบาท
สำหรับการดำเนินโครงการสำคัญที่อยู่ในความรับผิดชอบของการรถไฟฯ นั้น ด้านโครงสร้างพื้นฐาน การรถไฟฯ เร่งรัดดำเนินการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้แล้วเสร็จตามแผนงาน ปัจจุบันมีความก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ระยะเร่งด่วน จำนวน 7 เส้นทาง ที่เปิดให้บริการไปแล้ว 5 เส้นทาง ประกอบด้วย 1. ช่วงชุมทางฉะเชิงเทรา-คลองสิบเก้า-แก่งคอย 2. ช่วงชุมทางถนนจิระ-ขอนแก่น 3. ช่วงนครปฐม-หัวหิน 4. ช่วงหัวหิน-ประจวบคีรีขันธ์ และ 5. ช่วงประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร ส่วนอีก 2 เส้นทาง ได้แก่ 1. ช่วงลพบุรี-ปากน้ำโพ เตรียมเปิดให้บริการช่วงเทศกาลปีใหม่ 2568 เพื่อมอบเป็นของขวัญให้แก่พี่น้องประชาชน และ 2. ช่วงมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ ขณะนี้ดำเนินการใกล้แล้วเสร็จ คาดว่าจะสามารถเปิดใช้งานได้ในช่วงต้นปี 2568
ส่วนโครงการก่อสร้างทางรถไฟสายใหม่ 2 เส้นทาง ได้แก่ 1. เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ และ 2. บ้านไผ่-มหาสารคาม-ร้อยเอ็ด-มุกดาหาร-นครพนม รวมระยะทาง 677 กม. ปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้างโครงการ รวมถึงโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน (กรุงเทพฯ-นครราชสีมา-หนองคาย) รวมระยะทาง 609 กม. ซึ่งอยู่ระหว่างเร่งรัดก่อสร้าง ระยะที่ 1 (กรุงเทพฯ-นครราชสีมา) ระยะทาง 250.77 กม. คาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการได้ภายในปี 2571
“การรถไฟฯ จะนำข้อเสนอแนะจากการหารือครั้งนี้ไปขับเคลื่อนภารกิจต่างๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนในทุกมิติ ทั้งภาคการขนส่งผู้โดยสาร และการขนส่งสินค้า เพราะระบบรางเป็นหนึ่งในโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งของประเทศ ที่เปรียบเสมือนกระดูกสันหลังใหญ่ของภาคเศรษฐกิจ การรถไฟฯ พร้อมก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางด้านคมนาคมของภูมิภาค สอดรับกับนโยบาย “คมนาคมเพื่อโอกาสประเทศไทย” ที่มุ่งสร้างโอกาสและความยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจและสังคมไทยในอนาคต” นายวีริศกล่าว
ขณะที่ด้านรถจักรและล้อเลื่อน การรถไฟฯ เร่งผลักดันโครงการจัดซื้อรถจักรดีเซลไฟฟ้าพร้อมอะไหล่ จำนวน 113 คัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการขนส่งสินค้า และรองรับโครงการรถไฟทางคู่ที่จะทยอยเปิดใช้งานในอนาคต สามารถประหยัดพลังงานได้ประมาณ 10-30% รวมถึงการจัดหารถจักรสับเปลี่ยนที่ใช้แบตเตอรี่ จำนวน 17 คัน ทดแทนรถจักรสับเปลี่ยนเดิมที่มีสภาพการใช้งานกว่า 60 ปี รวมทั้งการจัดหารถดีเซลราง (Hybrid DEMU) จำนวน 184 คัน เพื่อเพิ่มปริมาณการขนส่งเชิงพาณิชย์ รองรับทางคู่ ปัจจุบันอยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อชี้แจงสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) สำนักงบประมาณ กระทรวงการคลัง เพื่อเสนอต่อกระทรวงคมนาคมต่อไป
ที่ผ่านมาการรถไฟฯ ยังมีรายได้จากการให้เช่าที่กว่า 3,987.19 ล้านบาท แต่ในอนาคตหลังจากโอนที่ทั้งหมดให้กับบริษัท เอสอาร์ที แอสเสท จำกัด (SRTA) ซึ่งเป็นบริษัทลูกของการรถไฟฯ แล้ว เชื่อว่าจะสามารถพัฒนาและสร้างรายได้ให้กับการรถไฟฯ เพิ่มขึ้นอีก ส่วนบริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด ที่ให้บริการรถไฟชานเมืองสายสีแดง 2 เส้นทาง ได้แก่ สายเหนือ ระหว่างสถานีบางซื่อ-สถานีรังสิต จำนวน 10 สถานี และสายใต้ ระหว่างสถานีบางซื่อ‐สถานีตลิ่งชัน จำนวน 3 สถานี ปัจจุบันจากนโยบายอัตราค่าโดยสารสูงสุด 20 บาท ทำให้มีปริมาณผู้โดยสารเพิ่มขึ้นจำนวนมาก โดยในช่วงปี 2567 มีปริมาณผู้โดยสารกว่า 10,602,478 คนต่อปี