- • เร่งเจรจาควบรวมกิจการ (M&A) โรงไฟฟ้าในและต่างประเทศ
- • คาดปิดดีล M&A โรงไฟฟ้าในประเทศ 1 โครงการ (EGCO ถือหุ้น 30%, กำลังผลิต 500 เมกะวัตต์) ในไตรมาส 1/2568
- • ใช้กลยุทธ์ "Triple P" ขับเคลื่อนธุรกิจ
“ผลิตไฟฟ้า”อัดงบลงทุนปี68อยู่ที่ 3หมื่นล้านบาท เร่งเจรจาM&Aโรงไฟฟ้าทั้งในและต่างประเทศ ลั่นไตรมาส1/68 ส่อปิดดีลM&Aโรงไฟฟ้าในประเทศ 1โครงการ โดยEGCOถือหุ้น30 %คิดเป็นกำลังผลิต 500เมกะวัตต์ พร้อมชูกลยุทธ์ “Triple P” ขับเคลื่อนธุรกิจระยะ 3 ปี (ปี 2568-2570) ตอบโจทย์การเติบโตอย่างอย่างยั่งยืนในทุกมิติ
นางสาวจิราพร ศิริคำ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาดีลควบรวมหรือซื้อกิจการ(M&A)โครงการโรงไฟฟ้าในประเทศไทย 1 โครงการและต่างประเทศอีก 1-2โครงการ ทั้งโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงหลักและพลังงานหมุนเวียนเพื่อรับรู้รายได้ทันที โดยคาดว่าจะปิดดีลโรงไฟฟ้าในประเทศได้ภายในไตรมาส1/2568
“ ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างเจรจาM&Aโรงไฟฟ้าในประเทศอยู่ ซึ่งจะถือหุ้นราว 30%คิดเป็นกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัดส่วนการถือหุ้น 500เมกะวัตต์ ใช้เงินลงทุนหลักหมื่นล้านบาทคาดว่าจะได้ข้อสรุปในไตรมาส 1/2568”
ในปี 2568 บริษัทเดินหน้าลงทุนในธุรกิจไฟฟ้าและแสวงหาโอกาสลงทุนในธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่องอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งงบลงทุน 30,000 ล้านบาท เพื่อใช้ลงทุนโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและการทำM&Aโรงไฟฟ้าทั้งในและต่างประเทศ
แนวโน้มผลประกอบการในปี2568 บริษัทจะมีรายได้เติบโตกว่าปีนี้ เนื่องจากจะมีปัจจัยสนับสนุนสำคัญมาจากโครงการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ได้แก่ การรับรู้รายได้เต็มปีจากการเข้าซื้อหุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้า Compass ในสหรัฐอเมริกา และจากการเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ของโรงไฟฟ้า EGCO Cogenerationส่วนขยาย จ.ระยอง การรับรู้รายได้จากการจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบของโรงไฟฟ้าพลังงานลมนอกชายฝั่ง Yunlin ในไต้หวัน การรับรู้รายได้จากการขายโครงการพลังงานหมุนเวียนและการจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบของ APEX ในสหรัฐอเมริกา การเจรจาสัญญาซื้อขายไฟฟ้าใหม่ของโรงไฟฟ้า Quezon ในฟิลิปปินส์ ที่คาดว่าจะแล้วเสร็จในปลายปี 2567 รวมทั้งรับรู้รายได้จากการทำM&A
ปัจจุบัน โครงการโรงไฟฟ้าพลังลมนอกชายฝั่ง Yunlin มีการติดตั้งเสากังหัน (Monopiles) และกังหันลม (Wind Turbine Generators - WTGs) ครบ 80 ต้น เรียบร้อยแล้ว และได้จ่ายไฟฟ้าเข้าระบบแล้วทั้งสิ้น 68 ต้น คิดเป็นกำลังผลิต544 เมกะวัตต์ บริษัทมั่นใจว่าจะสามารถจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบครบ 640 เมกะวัตต์ ภายในสิ้นปีนี้
นางสาวจิราพร กล่าวว่า ในยุคของการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน EGCO ได้ทบทวนและปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจระยะ 3 ปี (ปี 2568-2570) โดยมีเป้าหมายสร้างความแข็งแกร่ง 3 ด้าน ได้แก่ การเพิ่มความสามารถในการสร้างรายได้และผลกำไรอย่างยั่งยืน การบรรลุเป้าหมายองค์กรคาร์บอนต่ำ และการปรับเปลี่ยนองค์กรเพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต
ซึ่งเป้าหมายดังกล่าวนี้จะขับเคลื่อน ด้วยกลยุทธ์ “Triple P” 3 ด้าน ได้แก่ Profitability and Performance Energizing เพิ่มความสามารถในการสร้างรายได้และผลกำไรให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งรักษาเสถียรภาพทางการเงิน,Power and Energy-related Focus เน้นลงทุนในธุรกิจไฟฟ้า ซึ่งเป็นธุรกิจหลักและรากฐานความแข็งแกร่งของ EGCO ทั้งโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซธรรมชาติ ซึ่งมีความสำคัญต่อความมั่นคงของระบบไฟฟ้าใน ยุคเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน และโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ผ่านการลงทุนทั้งรูปแบบ M&A และ Greenfield ตลอดจนแสวงหาโอกาสลงทุนในธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่อง โดยต่อยอดการลงทุนในประเทศที่มีฐานธุรกิจอยู่แล้ว 8 ประเทศ
Portfolio and People Management บริหารจัดการพอร์ตการลงทุนและทรัพยากรบุคคลให้มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยมุ่งเน้นสร้างความเป็นเลิศในกระบวนการดำเนินงาน (Operational Excellence) ให้ความสำคัญกับการบริหารสินทรัพย์เชิงกลยุทธ์เพื่อนำรายได้ไปแสวงหาโอกาสการลงทุนใหม่ (Asset Recycling) ที่จะสร้างการเติบโตต่อเนื่องในระยะยาว พร้อมทั้งปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กรเพื่อรองรับการขยายธุรกิจในระดับสากล ตลอดจนปรับปรุงกระบวนการดำเนินธุรกิจให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ด้วยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในกระบวนการต่าง ๆ เพื่อรองรับโอกาสการเติบโตทางธุรกิจในอนาคต
ทั้งนี้ บริษัทวางเป้าหมายเป็นองค์กรคาร์บอนต่ำ ทั้ง 3 ระยะ ได้แก่ เป้าหมายระยะสั้น ภายในปี 2573 เพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเป็น 30% ของกำลังผลิตทั้งหมด เป้าหมายระยะกลาง ภายในปี 2583 มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และเป้าหมายระยะยาว ภายในปี 2593 จะบรรลุการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์(Net Zero Carbon)
สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 3 ปี 2567 บริษัทมีกำไรจากการดำเนินงาน 3,604 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 2,463 ล้านบาท โดยได้รับแรงหนุนจากโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ในต่างประเทศ ในขณะที่ 9 เดือนแรกของปี 2567 มีกำไรจากการดำเนินงาน 7,014 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 5,518 ล้านบาท ซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนมาจากโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ในต่างประเทศ และกลุ่มโรงไฟฟ้าในสหรัฐอเมริกา