xs
xsm
sm
md
lg

หัวเว่ย เสนอสร้างเครือข่าย F5.5G All-Optical Network เน้น AI ช่วยผู้ให้บริการเครือข่ายเติบโต

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

  • • Huawei ร่วมมือกับพันธมิตร สร้างเครือข่าย F5.5G All-Optical Network ที่ใช้เทคโนโลยี AI
  • • เป้าหมาย: เร่งการแพร่หลายของปัญญาประดิษฐ์ (AI) และสร้างการเติบโตทางธุรกิจใหม่ในยุคอัจฉริยะ
  • • เครือข่าย F5.5G All-Optical Network มีความเร็วสูง
  • • AI ในเครือข่าย ช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น และรองรับการใช้งาน AI ได้อย่างเต็มที่
  • • ผลลัพธ์: นำไปสู่การพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ และสร้างโอกาสทางธุรกิจมากขึ้น


นายบ๊อบ เฉิน (Bob Chen) ประธานสายผลิตภัณฑ์ธุรกิจออปติคอลของหัวเว่ย กล่าวปาฐกถาในงานประชุม Ultra-Broadband Forum ครั้งที่ 10 (UBBF 2024) ว่า ยุคของปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาถึงแล้ว โมเดลพื้นฐานทั่วไปกำลังได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และถูกนำไปประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว จนถึงขณะนี้ โมเดลพื้นฐานได้ถูกนำไปใช้มากกว่า 1,300 โมเดล และยังมีการใช้งาน AI ในโทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ และรถยนต์อย่างแพร่หลาย ในอนาคต AI จะเป็นส่วนสำคัญที่ขาดไม่ได้ของอุปกรณ์ต่าง ๆ AI จะช่วยเราวางแผนการเดินทาง สร้างโค้ด และตรวจสอบคุณภาพ ในอนาคต AI จะเปลี่ยนแปลงทุกแง่มุมของการใช้ชีวิต การทำงาน และการผลิตของเรา
 
นายเฉิน ชี้ให้เห็นว่า ในยุค AI ผู้ให้บริการเครือข่ายบางรายจะเปลี่ยนไปเป็นผู้ให้บริการด้าน AI แบบครบวงจร และผู้ให้บริการบางรายจะร่วมมือกับบุคคลที่สามเพื่อให้บริการต่าง ๆ เช่น การประมวลผล AI และแอปพลิเคชัน AI สำหรับผู้ให้บริการ “การสร้างเครือข่ายโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งและเพิ่มขีดความสามารถด้วยเครือข่าย” จะเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จทางธุรกิจในยุค AI การทำงานร่วมกันของอุปกรณ์ AI และคลาวด์ รวมถึงการประมวลผลอัจฉริยะ ต้องการแบนด์วิธสูง ความหน่วงต่ำ และความน่าเชื่อถือสูง หัวเว่ยจึงมุ่งมั่นที่จะนำนวัตกรรม F5.5G มาใช้ในด้านการส่งสัญญาณออปติคอล การเข้าถึงออปติคอล และแพลตฟอร์มการจัดการและควบคุม เพื่อช่วยผู้ให้บริการสร้างเครือข่ายใยแก้วนำแสง (Optical network) ที่เน้น

ในด้านการส่งสัญญาณออปติคอล หัวเว่ยได้นำเทคโนโลยีการสลับสัญญาณออปติคอล(Optical Switching) ชั้นนำไปใช้ในศูนย์ข้อมูล (DCs) และขอบเขตของเครือข่ายภายในเมืองเป็นครั้งแรก ด้วยการใช้ Optical Switching ศูนย์ข้อมูลจะรองรับการขยายตัวและการปรับปรุงประสิทธิภาพในการประมวลผลอัจฉริยะ หัวเว่ยมีโซลูชัน Optical Switching สำหรับศูนย์ข้อมูลที่รองรับการขยายการประมวลผลอัจฉริยะจากการ์ด 1,000 ใบ ไปจนถึงการ์ดหลายล้านใบ ด้วยพอร์ตที่มีความหนาแน่นสูงและการใช้พลังงานต่ำมาก เมื่อเทียบกับโซลูชันดั้งเดิม การติดตั้งแบบไม่ใช้โมดูลออปติคอลจะช่วยลดอัตราการขัดข้องได้ประมาณ 20% นอกจากนี้ด้วยการสลับสัญญาณออปติคอลทั้งหมดที่ขอบเขตของเครือข่ายในเมือง หัวเว่ยช่วยให้ผู้ให้บริการสร้างวงจรที่มีความหน่วงต่ำในระดับ 1 มิลลิวินาที 5 มิลลิวินาที และ 10 มิลลิวินาที ด้วยการเชื่อมโยงเครือข่ายแบบตาข่ายและการเชื่อมต่อออปติคอลแบบฮอปเดียวจากโครงข่ายการสื่อสารเส้นทางหลักสำหรับแลกเปลี่ยนข้อมูลจำนวนมาก (backbone) สู่เครือข่ายในเมือง เพื่อให้มั่นใจในประสบการณ์ AI ที่ยอดเยี่ยม ปัจจุบันมีผู้ให้บริการมากกว่า 50 รายทั่วโลกได้นำ Optical Switching มาใช้ในเครือข่ายในเมืองเพื่อสร้างเครือข่ายในระดับ 1 มิลลิวินาที
 
สำหรับการเข้าถึงออปติคอล นายเฉิน กล่าวว่า บริการอินเทอร์เน็ตแบบบรอดแบนด์จะต้องมีการบริการระดับพรีเมียม ที่อิงจากการเชื่อมต่อด้วยใยแก้วนำแสง ซึ่งสามารถให้ประสบการณ์การบริการที่มีคุณภาพและมั่นคงสำหรับผู้ใช้ทุกคนทั่วโลก ปัจจุบันมี 3 รูปแบบในการสร้างรายได้จากบริการบรอดแบนด์แบบไฟเบอร์ ได้แก่ การสร้างรายได้จากการขยายพื้นที่ครอบคลุม แบนด์วิธ และประสบการณ์การใช้งาน
 
ในด้านแพลตฟอร์มการจัดการและควบคุม หัวเว่ยใช้ Digital Twin และโมเดลพื้นฐานของ AI เพื่อปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้และประสิทธิภาพของการบำรุงรักษาและการปฏิบัติการ (O&M) ในโซลูชัน บรอดแบนด์และการส่งสัญญาณระดับพรีเมียม โซลูชันบรอดแบนด์ระดับพรีเมียมของหัวเว่ยใช้การระบุตำแหน่งข้อผิดพลาดแบบอัตโนมัติ เพื่อให้การวินิจฉัยข้อบกพร่องของเครือข่ายใช้เวลาในระดับนาทีและแก้ไขปัญหา QoE ต่ำได้อย่างรวดเร็ว ลดข้อร้องเรียนจากผู้ใช้ได้ถึง 30% โซลูชันการส่งสัญญาณระดับพรีเมียมใช้การวางแผนออนไลน์อัตโนมัติ เพื่อลดระยะเวลาการเปิดตัวบริการใหม่จากหลายเดือนให้เหลือเพียงไม่กี่ชั่วโมง
 
“ทศวรรษต่อไป จะเป็นช่วงเวลาแห่งการเติบโตอย่างรวดเร็วของ AI” นายเฉิน กล่าว “หัวเว่ยหวังที่จะร่วมมือกับพันธมิตรในอุตสาหกรรมเพื่อสร้างเครือข่าย F5.5G All-Optical Network ที่เน้น AI ขยาย Optical Switching ไปยังศูนย์ข้อมูลและขอบเครือข่ายในเมือง สร้างเครือข่ายระดับพรีเมียม ด้วยการสร้างรายได้จากการขยายพื้นที่ครอบคลุม แบนด์วิธ และประสบการณ์การใช้งาน พร้อมด้วยการเพิ่มขีดความสามารถของ AI ให้กับแพลตฟอร์มการจัดการและควบคุม เพื่อเร่งการแพร่หลายของ AI และสร้างการเติบโตทาธุรกิจใหม่ในยุคอัจฉริยะร่วมกัน!”


กำลังโหลดความคิดเห็น