xs
xsm
sm
md
lg

ดัชนีเชื่อมั่นอุตฯ ต.ค. 67 เพิ่มขึ้นในรอบ 3 เดือน ชงรัฐตั้งกองทุนส่งเสริม SME-จับตานโยบาย ศก.การค้า “ทรัมป์”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ส.อ.ท.เผยดัชนีเชื่อมั่นอุตฯ ต.ค. 67 ปรับตัวเพิ่มขึ้นในรอบ 3 เดือนอยู่ที่ 89.1 จาก 87.1 ในเดือน ก.ย. 67 เนื่องจากสถานการณ์น้ำท่วมในหลายพื้นที่เริ่มคลี่คลาย โครงการแจกเงิน 10,000 บาทให้กลุ่มเปราะบางส่งผลดีต่อยอดขายสินค้าอุปโภคบริโภค เครื่องใช้ในบ้าน แบงก์ทยอยปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ และการท่องเที่ยวเติบโต แต่มีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตาดูนโยบายเศรษฐกิจการค้าของทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ เสนอรัฐเร่งการจัดซื้อภาครัฐในหมวดพาหนะ ปี 2568 และจัดตั้งกองทุนส่งเสริม SMEs

นายนาวา จันทนสุรคน รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนตุลาคม 2567 อยู่ที่ระดับ 89.1 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 87.1 ในเดือนกันยายน 2567 เป็นการปรับเพิ่มขึ้นในรอบ 3 เดือน เนื่องจากสถานการณ์น้ำท่วมในหลายพื้นที่เริ่มคลี่คลาย ภาครัฐเร่งฟื้นฟูและเยียวยาความเสียหายให้กับประชาชน รวมถึงโครงการแจกเงิน 10,000 บาทให้กลุ่มเปราะบาง ทำให้ยอดขายสินค้าอุปโภคบริโภค เครื่องใช้ในบ้าน และอุปกรณ์การเกษตร และปุ๋ยเคมีดีขึ้น รวมทั้งธนาคารพาณิชย์ ก็เริ่มทยอยปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลง 0.25% ภายหลังคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% จากระดับ 2.50% สู่ระดับ 2.25% ทำให้ต้นทุนทางการเงินของผู้ประกอบการลดลง


ส่วนภาคการท่องเที่ยว ก็มีการขยายตัวต่อเนื่อง โดยมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทยในช่วง 10 เดือน (1 มกราคม-27 ตุลาคม 2567) จำนวน 28,378,473 คน สร้างรายได้ประมาณ 1,325,359 ล้านบาท ภาคการส่งออกก็ขยายตัวต่อเนื่องตามอุปสงค์ในตลาดโลกและจากความต้องการสินค้าในช่วงเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ โดยการส่งออกในเดือนกันยายน 2567 มีมูลค่า 25,983.2 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 1.1% รวมถึงอัตราค่าระวางเรือ (Freight rate) ขนส่งสินค้า ปรับตัวลดลงในเส้นทางสำคัญ ทำต้นทุนโลจิสติกส์ของผู้ประกอบการลดลง

อย่างไรก็ตาม ในเดือนตุลาคมยังมีปัจจัยลบจากกำลังซื้อในประเทศยังอ่อนแอจากค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้น ขณะที่ปัญหาหนี้ครัวเรือนยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะหนี้เสีย (NPL) ที่เพิ่มขึ้น 13.3% จากปีก่อนอยู่ที่ระดับ 1.18 ล้านล้านบาทสถานการณ์น้ำท่วม ส่งผลให้ราคาวัตถุดิบสินค้าเกษตรเพิ่มสูงขึ้น สินค้าวัสดุก่อสร้างได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นผลมาจากปัญหาหนี้ครัวเรือน อีกทั้งสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศเข้ามาทุ่มตลาด ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการในประเทศโดยเฉพาะ SMEs รวมไปถึงความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของสินค้าส่งออกของไทย และความตึงเครียดในตะวันออกกลาง ยังเป็นความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจการค้าโลก


ม.ล.ปีกทอง ทองใหญ่ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และประธานสายงานเศรษฐกิจและวิชาการ กล่าวว่าจากการสำรวจผู้ประกอบการ 1,365 ราย ครอบคลุม 46 กลุ่มอุตสาหกรรมของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ในเดือนตุลาคม 2567 พบว่าปัจจัยที่ผู้ประกอบการมีความกังวลเพิ่มขึ้น ได้แก่ อัตราแลกเปลี่ยน ส่วนปัจจัยที่ผู้ประกอบการมีความกังวลลดลง ได้แก่ เศรษฐกิจในประเทศ เศรษฐกิจโลก ราคาน้ำมัน สถานการณ์การเมืองในประเทศ และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ตามลำดับ

ขณะที่ดัชนีฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ระดับ 98.4 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 96.7 ในเดือนกันยายน 2567 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ เช่น โครงการแจกเงิน 10,000 บาท มาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยว การเร่งเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐ และโครงการลงทุนและการก่อสร้างต่างๆช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปี 2567 การส่งออกฟื้นตัวต่อเนื่อง แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยที่ผู้ประกอบการยังคงห่วงกังวล ได้แก่ สถานการณ์ความไม่แน่นอนของนโยบายเศรษฐกิจการค้าของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ ปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในพื้นที่ต่างๆ ยังเป็นความเสี่ยงต่อภาคการส่งออก

ทั้งนี้ ส.อ.ท.มีข้อเสนอแนะต่อภาครัฐ ดังนี้คือ 1. เสนอให้สถาบันการเงินและธนาคารพาณิชย์ผ่อนปรนหลักเกณฑ์การพิจารณาสินเชื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs อาทิ ผ่อนปรนเรื่องการขาดทุนปีล่าสุด โดยให้พิจารณากำไรจากการดำเนินงานในรูปของเงินสด (EBITDA) ของบริษัทปีล่าสุด เป็นต้น

2. เสนอให้ภาครัฐจัดตั้งกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) เพื่อเพิ่มผลิตภาพการผลิตด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่และยกระดับการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม

3. ออกมาตรการทางภาษีและการเงินเพื่อกระตุ้นการซื้อรถยนต์ภายในประเทศ โดยเร่งการจัดซื้อภาครัฐในหมวดพาหนะ ปี 2568 และ 4. เสนอให้ภาครัฐบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองผู้บริโภคและการแข่งขันทางการค้าอย่างเคร่งครัด รวมทั้งเข้มงวดในการตรวจจับสินค้านำเข้าราคาถูกที่ไม่ได้คุณภาพ


กำลังโหลดความคิดเห็น