- อย่างไรก็ตาม เนื้อหาเน้นไปที่การประชุมระหว่าง กกร. กับ ธนาคารแห่งประเทศไทย ในวันที่ 14 พ.ย. นี้ เพื่อหารือถึงมาตรการช่วยแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางและ SMEs รวมทั้งการผ่อนปรนมาตรการปล่อยสินเชื่อรถกระบะเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในปีหน้า
- สามารถสรุปเป็นข้อๆ ได้ดังนี้:
- 1. กกร. จะประชุมกับ ธนาคารแห่งประเทศไทย ในวันที่ 14 พ.ย. นี้
- 2. การประชุมจะเน้นการหาทางแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางและ SMEs
- 3. มีแผนที่จะผ่อนปรนมาตรการปล่อยสินเชื่อรถกระบะเพื่อช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจในปีหน้า
- 4. เป้าหมายคือการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างเป็นระบบ
กกร.นัดถกแบงก์ชาติ14 พ.ย.นี้ หารือมาตรการช่วยแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง SME รวมทั้งผ่อนปรนมาตรการปล่อยสินเชื่อรถกระบะเพื่อเร่งฟื้นฟูศก.ปีหน้าและแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างเป็นระบบ ชี้หาก "โดนัลด์ ทรัมป์"เป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนใหม่ ผลกระทบต่อไทยคงไม่มาก เพราะสินค้าจากไทยส่งออกไปสหรัฐฯเป็นของจำเป็นและการปรับขึ้นภาษีนำเข้าเหมือนกันหมด เหตุไทยได้ดุลการค้าสหรัฐฯเสี่ยงโดนเพ่งเล็งมากขึ้น
นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เปิดเผยว่า กกร.สนับสนุนแนวทางแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน โดยกกร.ได้นัดหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)ในวันที่ 14 พย.นี้ เพื่อหามาตรการต่างๆช่วยเหลือลูกหนี้กลุ่มเปราะบาง ทั้งรายย่อยและธุรกิจขนาดเล็ก (SME)ที่มีภาระหนี้สูง และประสบความยากลำบากในการชำระหนี้ อาทิลูกหนี้รายย่อยสินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถยนต์ และสินเชื่อ SME รายเล็ก ที่มีวงเงินสินเชื่อไม่สูงและมีปัญหาค้างชำระ และผ่อนปรนความเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อ เพื่อเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจปีหน้า และยังช่วยแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างเป็นระบบ
ก่อนหน้านี้ กกร.ได้ยื่นหนังสือปกขาวให้นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีเพื่อหาแนวทางช่วยเหลือ รวมทั้งขอให้รัฐช่วยกลุ่มเปราะบางอย่ายึดรถกระบะ ซึ่งเป็นเครื่องมือทำกิน โดยนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรับปากจะพูดคุยกับบริษัทลีสซิ่ง บริษัทรถยนต์รวมทั้งธนาคารพาณิชย์ในการขออย่ายึดรถกระบะ ฯ รวมทั้งขอให้มีการช่วยเหลือธุรกิจSME อย่างตรงจุด เหมาะสมและเป็นธรรม เช่น การเสริมทักษะแรงงาน เพื่อให้มีรายได้เพิ่มขึ้น เป็นทรัพยากรขับเคลื่อนธุรกิจ SME พร้อมเสริมศักยภาพการแข่งขัน สร้างแต้มต่อให้กับผู้ประกอบการ SME เช่น มีมาตรการสนับสนุนให้ SME เข้าถึงการประมูลงานภาครัฐ สำหรับแหล่งเงินทุน โดยรายละเอียดของมาตรการทางธปท.และกระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการพิจารณาและจะเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาอนุมัติต่อไป
ทั้งนี้ กกร.คาดปี2568 อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ(GDP)ขยายตัวไม่ต่ำกว่า3% โดยอยากเห็นGDPโต 3.5%ทางธปท.เป็นคลังข้อมูล วิเคราะห์ข้อเสนอแนะภาคเอกชนอย่างไรเราพร้อมให้ความร่วมมือ
สำหรับเศรษฐกิจไทยปี 2567 มีแนวโน้มขยายตัว อยู่ที่ 2.6-2.8% สูงกว่าประมาณการเดิม จากแรงขับเคลื่อนของการส่งออกที่ได้รับอานิสงส์จากวัฏจักรขาขึ้นของกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ที่ส่งผลให้การส่งออกสามารถเติบโตได้ 2.5-2.9% สูงกว่าประมาณการเดิม ประกอบกับมีปัจจัยหนุนจากการกระตุ้นกำลังซื้อ และการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐ นอกจากนี้ มาตรการภาครัฐทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว ที่กำลังจะทยอยออกมา อาทิ การช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยและกลุ่มผู้ประกอบการ SME การปรับกฎหมายเกี่ยวกับการเช่าที่ดินระยะยาว 99 ปีเพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ ถือเป็นกลไกสำคัญในการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างและสร้างความเชื่อมั่นต่อการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า
ในระยะถัดไปเศรษฐกิจไทยมีสัญญานการฟื้นตัวจากมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อของภาครัฐ แต่จากสถานการณ์น้ำท่วมเฉียบพลันในหลายพื้นที่ของประเทศ ส่งผลให้เศรษฐกิจและภาคการท่องเที่ยวยังคงฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่ และปัญหาสินค้าทุ่มตลาดที่ยังคงกดดันยอดขายของผู้ประกอบการในประเทศ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่อง เช่น มาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวในช่วงปลายปี และมาตรการเพิ่มกำลังซื้อคูณ 2 เช่น E-Receipt เป็นต้น ในช่วงต้นปีหน้าให้กับประชาชน รวมทั้งการเร่งลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อยกระดับศักยภาพเศรษฐกิจในระยะยาว ส่งเสริมการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ โดย กกร.สนับสนุนการปรับกฎหมายเกี่ยวกับการเช่าที่ดินระยะยาว 99 ปี
นายสนั่น กล่าวต่อไปว่า จากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงชัดเจน คาดว่า GDP โลกทั้งปี 2567 มีแนวโน้มขยายตัวได้ต่ำ เห็นได้จากการผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนตุลาคมของประเทศสำคัญ ทั้งสหรัฐฯ ยุโรป และญี่ปุ่น ต่างหดตัวต่อเนื่อง
ขณะที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์เศรษฐกิจโลกปี 2567 ยังเติบโตได้ต่ำขยายตัวที่ 3.2% ส่วนปีหน้ามีแนวโน้มทรงตัว ทั้งนี้ยังเตือนว่าเศรษฐกิจโลกระยะข้างหน้ายังมีความเสี่ยงจากหลายปัจจัยหลักจากการกีดกันทางการค้าที่รุนแรงขึ้น ,อัตราเงินเฟ้อที่กลับมาเร่งตัวจากปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์ และปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีนที่แย่กว่าคาด
นายสนั่น กล่าวถึงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งนัยยะต่อเศรษฐกิจไทยเบื้องต้น ถือเป็นความเสี่ยงต่อการส่งออกสินค้าไทยที่มีการเกินดุลกับสหรัฐฯ คาดว่าจะกระทบการส่งออกไทยผ่านมาตรการขึ้นภาษีการนำเข้าและการกีดกันทางการค้ารอบใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าที่เกินดุลการค้าสูงและมูลค่าการส่งออกขยายตัวได้ดี เช่น ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ เซมิคอนดักเตอร์ ยางล้อ และกลุ่มสินค้าที่เกินดุลการค้าปานกลางและมูลค่าการส่งออกที่ขยายตัวรวดเร็ว เช่น เครื่องปรับอากาศ โซลาร์เซลล์ เป็นต้น จำเป็นจะต้องติดตามความคืบหน้าของนโยบายเหล่านี้ต่อไป โดยภาครัฐและผู้ประกอบการต้องเตรียมหาแนวทางร่วมกันในการรับมือกับนโยบายที่อาจจะมีการเปลี่ยนแปลง