xs
xsm
sm
md
lg

สปีดไม่ขึ้น”แหลมฉบังเฟส 3”ถมทะเลล่าช้า 3.86% ”มนพร”ย้ำกทท.ต้องส่งมอบพื้นที่ GPC ในพ.ย.68

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

  • • ความคืบหน้า: การถมทะเลของท่าเรือแหลมฉบัง เฟส 3 คืบหน้า 45%
  • • ปัญหา: ผลกระทบจากมรสุมและคลื่นลมแรง ทำให้การก่อสร้างล่าช้ากว่าแผน 3.86%
  • • เป้าหมาย:
  • • กทท. จะเร่งสปีดงานเพื่อส่งมอบพื้นที่ภายในเดือนพฤศจิกายน 2567
  • • ส่งต่อพื้นที่ให้ GPC ในเดือนพฤศจิกายน 2568
  • • ระบบรถไฟและเครื่องมือ: จะเริ่มการประมูลในต้นปี 2568


“มนพร”เผยถมทะเล'ท่าเรือแหลมฉบัง เฟส 3'คืบหน้า 45% ช้ากว่าแผน3.86% เจออุปสรรคช่วงมรสุม คลื่นลมแรง ย้ำกทท.สปีดงานให้ส่งมอบพื้นที่ 3 ในพ.ย. 67 และพร้อมส่งต่อ GPC พ.ย.68 ส่วนระบบรถไฟ และจัดหาเครื่องมือขยับประมูลต้นปี 68 เปิดให้บริการท่าเรือ F ปลายปี 70

นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยถึงความคืบหน้าการดำเนินโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง (ทลฉ.) ระยะที่ 3 ของการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) ว่า กทท. รายงาน ความคืบหน้าการดำเนินโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ในส่วนที่ 1 งานก่อสร้างงานทางทะเล(ข้อมูล ณ วันที่ 11 ตุลาคม 2567) ดำเนินงานได้ 45.097% จากแผนปฏิบัติ48.95% ยังล่าช้ากว่าแผน 3.86% โดยสาเหตุความล่าช้านั้น เนื่องจากการดำเนินงานของโครงการเป็นงานทางทะเลนอกชายฝั่ง ซึ่งประกอบด้วยงานก่อสร้างคันหินล้อมพื้นที่ถมทะเลชนิดแกนทรายเป็นส่วนใหญ่ โดยช่วงที่ผ่านมาเป็นช่วงมรสุมของพื้นที่แหลมฉบัง (เดือนเมษายน - เดือนพฤศจิกายน) ทำให้มีคลื่นลมแรง และเกิดปัญหาอุปสรรคในการก่อสร้าง ผู้รับจ้างจึงไม่สามารถดำเนินงานได้ตามแผนงาน 

ทั้งนี้ ได้กำชับ กทท. ประสานไปยังผู้ควบคุมงาน และผู้รับเหมา(กิจการร่วมค้า CNNC ประกอบด้วย บริษัท เอ็น.ที.แอล.มารีน จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกของบมจ.พริมามารีน บริษัท นทลิน จำกัด และ บริษัท จงก่าง คอนสตรั๊คชั่น กรุ๊ป จำกัด (ประเทศจีน)) ให้เร่งรัดการดำเนินงาน รวมถึงวางแผนแก้ไขปัญหาโดยการให้ผู้รับจ้างเพิ่มเวลาในการทำงานให้มากขึ้น พร้อมทั้งให้ผู้รับจ้างเร่งดำเนินงานในช่วงที่คลื่นลมสงบ และให้ผู้รับจ้างปรับขั้นตอนการทำงานให้เหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศ รวมถึงให้ผู้รับจ้างพิจารณาเพิ่มเครื่องจักรทางทะเล เพื่อแก้ไขความล่าช้าดังกล่าว 


โดยให้ กทท. เร่งรัดการทำงานของผู้รับจ้างให้แล้วเสร็จพร้อมส่งมอบพื้นที่ถมทะเลพื้นที่ 3 ได้ภายในเดือนพฤศจิกายน 2567
ซึ่งต้องเร่งให้ได้เนื้องานเพิ่มขึ้นเดือนละ 3.00 – 3.50 % และมั่นใจว่าจะสามารถดำเนินการแล้วเสร็จตามแผนพร้อมส่งมอบงานก่อสร้างส่วนที่ 1 ได้ภายในมิถุนายน 2569 รวมถึงจะไม่กระทบกับสัญญาของบริษัทเอกชนคู่สัญญาสัมปทานบริษัท จีพีซี อินเตอร์เนชั่นแนล เทอร์มินอล จำกัด (GPC) ที่ปัจจุบันพื้นที่ F1 ถมทะเลเรียบร้อยแล้วพร้อมส่งมอบให้ GPC ได้ในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2568
และสามารถเปิดให้บริการท่าเรือ F ได้ภายในสิ้นปี 2570

“ได้มอบหมายให้ กทท. เร่งรัดการดำเนินการโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 ให้แล้วเสร็จทันตามกรอบเวลา ซึ่งจากการรายงานของ กทท. พบว่าปัจจุบันการก่อสร้างมีความคืบหน้าไปมาก แต่ยังคงล่าช้ากว่าแผนที่กำหนดไว้เล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ได้มีข้อแนะนำให้ กทท. กำชับทางผู้รับเหมา และผู้ควบคุมงาน ให้ดำเนินการตามแผนปฏิบัติงาน และวางแผนการแก้ไขปัญหาอย่างเคร่งครัด เพื่อให้สามารถส่งมอบงานตามแผนที่กำหนดไว้” นางมนพรกล่าว

สำหรับโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ถือเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่สำคัญของประเทศในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) อีกทั้งยังนับว่าเป็น 1 ใน 15 นโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล โดยการบริหารของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และนโยบายของกระทรวงคมนาคม ภายใต้สโลแกน “คมนาคมเพื่อโอกาสประเทศไทย” ที่ได้ให้ความสำคัญในการสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม เชื่อมโยงการขนส่งอย่างไร้รอยต่อ ควบคู่กับการพัฒนาประเทศโดยคำนึงถึงประโยชน์ของประชาชน และประเทศชาติเป็นหลัก


@เตรียมสร้าง งานถนนและท่าเรือ

ด้านนายเกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข ผู้อำนวยการ กทท. กล่าวถึงงานส่วนที่ 2 งานก่อสร้างอาคาร ท่าเทียบเรือ ระบบถนน และระบบสาธารณูปโภค ซึ่งได้มีการลงนามในสัญญาจ้างก่อสร้างโครงการฯ ร่วมกับบริษัท ซีเอชอีซี (ไทย) จำกัด ไปเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2567 ปัจจุบันอยู่ระหว่างบริษัทฯ เตรียมงานก่อนการก่อสร้าง ทั้งในส่วนของการขออนุญาตส่วนราชการอื่นที่เกี่ยวข้อง การตรวจสอบหมุดหลักฐานอ้างอิง (Bench mark) และการเจาะสำรวจทางธรณีวิทยา (Soil Investigation) เป็นต้น


@ระบบรถไฟ และจัดหาเครื่องมือ ขยับเปิดประมูลต้นปี 68

ขณะที่ งานส่วนที่ 3 งานก่อสร้างระบบรถไฟ และส่วนที่ 4 งานจัดหาเครื่องมือพร้อมจัดหาและติดตั้งระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยงานส่วนที่ 3 และ 4 อยู่ระหว่างการจัดทำร่างเอกสารประกวดราคา (TOR) คาดว่าจะสามารถประกาศประกวดราคาได้ภายในต้นปี 2568 อย่างไรก็ตาม โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 เป็นการพัฒนาและดำเนินการในส่วนของท่าเทียบเรือ F เป็นลำดับแรก ซึ่งหากโครงการแล้วเสร็จจะสามารถรองรับและเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับตู้สินค้า จาก 11 ล้าน ทีอียูต่อปี เป็น 18 ล้าน ทีอียูต่อปี 

สำหรับการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังนั้น สืบเนื่องจาก รัฐบาลที่ได้เล็งเห็นถึงศักยภาพทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศที่จะขยายตัวมากขึ้นในอนาคต ถือเป็นหนึ่งในกลไกหลักของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการค้าของประเทศ เชื่อมต่อและขนส่งสินค้าไปยังกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา ลาว พม่าเวียดนาม) และประเทศจีนตอนใต้ ถือเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในการขนส่งและกระจายสินค้าที่สำคัญของภูมิภาค รวมถึงยังช่วยสนับสนุนการลดต้นทุนการขนส่งโดยรวมของประเทศ สอดรับกับนโยบายของรัฐบาลที่ตั้งเป้าหมายลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์ มุ่งให้ไทยเป็นศูนย์กลางการขนส่งของภูมิภาคต่อไป






กำลังโหลดความคิดเห็น