- • นักวิชาการและภาคเอกชน มั่นใจ สุราชุมชนไทยบุกตลาดโลกได้
- • รัฐบาลผ่อนคลายหลักเกณฑ์และเงื่อนไขให้ดีขึ้น
- • ยังติดขัดบางเรื่อง (รายละเอียดไม่ได้ระบุในข้อมูลที่ให้มา)
นายสุทธิกร กิ่งแก้ว ผู้บริหารโครงการวิจัยสถาบันวิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดเผยว่า ความท้าทายของอุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในขณะนี้ คือ การทำธุรกิจในภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัว กฎระเบียบในการจัดจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไม่สมเหตุสมผล อาทิ การกำหนดเวลาขาย ไม่สมเหตุสมผล และยังห้านในวันสำคัญทางศาสนา ซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นประเด็นสำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ
ทั้งนี้ ในมุมนักท่องเที่ยวต่างชาติ ระบุว่า ตนเป็นผู้ดื่มอย่างมีความรับผิดชอบและการได้ดื่มจะช่วยเสริมสร้างประสบการณ์ที่ดีเมื่อได้ดื่มอย่างปกติ และเข้าถึงได้ในราคาที่เหมาะสม ดังนั้น ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าเครื่อง ดื่มแอลกอฮอล์เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมของนักท่องเที่ยว ขณะที่กฎหมายการโฆษณา ก็เป็นประเด็นสำคัญเช่นกัน เพราะกฎหมายที่ไม่ชัดเจน นำไปสู่การเปิดให้ทางเจ้าหน้าที่บางรายใช้เรียกสินบนจากผู้ประกอบการ
ส่วนโครงสร้างภาษีสรรพสามิตที่เกี่ยวข้องกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยังมีความไม่สมเหตุสมผลหลายประการ เช่น การเก็บภาษีสรรพสามิตที่มีฐานทั้งจากปริมาณแอลกอฮอล์และมูลค่าของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เช่น สุราขาว ที่มีปริมาณการขายสูงสุด แถมมีแอลกอฮอล์ที่เก็บภาษีได้ในระดับที่ต่ำมาก ซึ่งการเน้นที่ปริมาณแอลกอฮอล์จะช่วยลดผลกระทบข้างเคียง เช่น การเมาแล้วขับ จนเกิดอุบัติเหตุ การทะเลาะวิวาท
“การปรับลดภาษีอย่างเหมาะ จะเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่ม และเกิดซอฟต์พาวเวอร์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดย เฉพาะเครื่องดื่มแบบค็อกเทล ที่ในแต่ละร้าน มีสูตรและส่วนผสมค็อกเทลที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว จะช่วยสนับสนุนการท่องเที่ยว พร้อมทั้งเกิดการหมุนเวียนรายได้ภายในประเทศ และการจ้างงาน ตามลำดับ
นายเก่งการ เหล่าวิโรจนกุล ผู้อำนวยการฝ่ายองค์กรสัมพันธ์ บริษัท ดิอาจิโอ โมเอ็ท เฮนเนสซี่ (ประเทศไทย) จํากัด กล่าวว่า ฐานะผู้นําเข้า และจัดจําหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์จากต่างประเทศ นั้น ดีใจที่รัฐบาลให้ความสำคัญกับสุราชุมชน อย่างไรก็ดี ยังมีประเด็นที่ต้องแก้ไขคือ 1.คือกฎหมายที่เอื้ออำนวยกับการให้รายย่อยผลิตสุราได้ 2.กฎหมายที่เอื้อต่อการขาย ทั้งการปลดล็อกกำหนดเวลาการจำหน่าย และการโฆษณา และ 3.ความร่วมมือ และการพัฒนาให่สุราไทยโกอินเตอร์ได้
อย่าง บริษัท ดิอาจิโอ ของนั้น เป็นแบรนด์ที่อยู่มา 200 ปีแล้ว เมื่อก่อนก็เป็นสุราพื้นบ้านของสกอตแลนด์ ซึ่งสกอตแลนด์เก่งในเรื่องของการ ผลิตวิสกี้ ซึ่งบ้านเราก็สามารถผลิตทุกแบบ แต่สิ่งสำคัญคือคุณภาพ แพคเกจจิ้งการทำตลาด และทำไงให้เขานึกถึงแบรนด์เราได้ ส่วนตัวถ้ามองให้คะแนน 0-100 คิดว่า ไทยยังไม่ถึง 10 คะแนน โดยไทยเรานับว่า อยู่ในช่วงตั้งไข่ แต่เชื่อว่าเป็นสิ่งที่พยายามช่วยกันสร้างให้ดีขึ้นได้
ทั้งนี้ ดิอาจิโอ สามารถสนับสนุนอุตสาหกรรมสุราพื้นบ้านไทยได้โดย 1.การพัฒนาสถานที่ผลิตให้มันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวได้ด้วยอีกตัวอย่างหนึ่ง ที่สกอตแลนด์ มี Johnnie Walker Princes Street และ 2.การตลาด ที่หากรัฐบาลได้เจรจาความตกลงการค้าเสรี หรือ FTA กับยุโรปและอังกฤษ รวมทั้งนำภาษีบรรจุไปในสินค้าที่ได้รับยกเย้นภาษี ก็จะเป็นโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยไปเปิดตลาดในยุโรปได้ แต่ในระยะอันใกล้นี้ จากที่มีไทยเขตการค้าเสรีอาเซียน หรือ AFTA ก็ลองส่งออกไป10 ประเทศ เพื่อนบ้านก่อนก็ได้
นางสาวประภาวี เหมทัศน์ กรรมการบริหาร บริษัท กรุ๊ปบี จำกัด และเลขาธิการสมาคมการค้าผู้ประกอบธุรกิจคราฟเบียร์ เปิดเผยว่า ในช่วงปี 2 ปีที่ผ่านมา มีผู้ให้ความสนใจอยากนำเหล้า สุราชุมชน หรือ คราฟเบียร์ ส่งออกไปขายต่างประเทศเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นเกาหลี ไต้หวัน ฮ่องกง ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา หรือยุโรปก็มี ซึ่งแปลว่า สินค้าไทย โดยเฉพาะอาหารไปได้ไกล และคิดว่า เครื่องดื่มไทย ก็มีโอกาสที่จะไปได้ไกลระดับโลกเหมือนกัน
แต่สิ่งที่เป็นปัญหาคือ ผู้ผลิตเหล้าชุมชนนั้น คือรายย่อย ที่ไม่มีความเข้าใจหรือความรู้เรื่องการส่งออก สิ่งแรกคือต้องการให้ภาครัฐให้ช่วยเหลือให้เข้าแนะนำและสร้างความเข้าใจ ขณะที่ สมาคมจัดตั้งขึ้นเพื่อเข้าไปทำเรื่องกฎหมายที่ช่วยปลดล็อกคราฟเบียร์รวมถึงสุราชุมชน โดยการเข้าไปนั่งคณะกรรมาธิการในการแก้กฎหมาย เนื่องจาก สมาชิกต่างมองเห็นว่า กฎหมายที่เป็นอุปสรรคหลัก ที่ทำให้ผู้ประกอบการรายย่อยไม่สามารถพัฒนาสินค้าและธุรกิจได้ ส่วนเรื่องของภาษีสรรพสามิตนั้น เป็นต้นทุนที่ทำให้ คราฟเบียร์ ราคาสูงจน คนไม่ค่อยกิน ดังนั้น เรื่องภาษีก็ถือเป็นเรื่องสำคัญ ที่สมาคมฯ พยายามจะเรียกร้องให้เกิดการแก้ไขต่อไป