- • เซ็นทรัล รีเทล ปรับโฉมห้างรีนาเชนเต อิตาลี จาก Traditional Store สู่ Luxury Store หลังเทคโอเวอร์มาหลายปี
- • ใช้โมเดล The Next-Level Luxury Retail เน้นการเป็น Media Company
- • 3 กลยุทธ์หลักของเซ็นทรัล รีเทล คือ
- • การสร้างประสบการณ์ช้อปปิ้งแบบดิจิทัล
- • การสร้างคอนเทนต์
- • การจับมือกับแบรนด์หรู
การตลาด - “เซ็นทรัล รีเทล” เปิดกลยุทธ์การสร้างธงใหม่ให้กับ ห้างรีนาเชนเต อิตาลี หลังจากเทคโอเวอร์มาเมื่อหลายปีก่อน พลิกโฉมห้างจาก Traditional Store สู่ Luxury Store ด้วยโมเดลThe Next-Level Luxury Retail พร้อมสวมบทบาทการเป็น Media Company เพิ่มรายได้ เดินหน้า 3 กลยุทธ์หลัก ยึดตลาดนักช้อปปิ้งทั่วโลก ปีที่แล้วรายได้รวมทะลุ 1 พันล้านยูโร ทุบสถิติ 158 ปี
เซ็นทรัล รีเทล (Central Retail /CRC) ถือเป็นผู้นำ Luxury Retail ของเมืองไทย โดยมีจุดกำเนิดมาจากห้างเซ็นทรัล และสั่งสม Expertise ในการทำห้างสรรพสินค้า จนสามารถขยายธุรกิจให้เติบโตแข็งแกร่ง และขึ้นเป็นเบอร์ 1 ค้าปลีกในประเทศไทย และด้วยวิสัยทัศน์ของเซ็นทรัล รีเทล ที่ต้องการเข้าสู่ Luxury Retail Market อย่างเต็มรูปแบบ จึงได้มองหาตลาดต่างประเทศ และเห็นศักยภาพ และ Opportunity ของตลาดยุโรปที่เป็นศูนย์กลางแฟชั่นของโลก มีความโดดเด่นในเรื่องของสินค้าลักชัวรี่ และเป็น Tourist Destination
ดังนั้นในปี 2554 เซ็นทรัล รีเทล จึงได้เข้าไปลงทุนที่ห้างสรรพสินค้ารีนาเชนเต ซึ่งเป็นห้างที่เก่าแก่ที่สุดในอิตาลี และมีประวัติอันยาวนานกว่า 160 ปี โดยภายหลังจากการเข้าซื้อกิจการ เซ็นทรัล รีเทล ได้ปรับโฉมห้างจาก Traditional Store ให้กลายเป็น Luxury Store ซึ่งเป็น Iconic Landmark และเป็นจุด “Must-visit” ของนักท่องเที่ยว รวมถึงเป็นศูนย์กลางแห่งตลาดลักชัวรี่ระดับโลก ซึ่งสามารถตอบโจทย์ลูกค้าทั้งกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง และกลุ่มนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกได้อย่างครบวงจร
โดยเฉพาะสาขาแฟลกชิปสโตร์ คือ สาขามิลาน และโรม เวีย เดล ตริโตเน พร้อมทั้งได้มีการยกระดับ รีนาเชนเตสาขาอื่นๆ รวมถึงเปิดตัวแพลตฟอร์มออนไลน์อย่างเว็บไซต์ Rinascente.it และบริการ Rinascente On Demand Chat & Shop
ปัจจุบันรีนาเชนเตถือเป็น Luxury Retail อันดับ 1 ในอิตาลี และมีทั้งหมด 9 สาขา ใน 8 เมืองสำคัญ ที่เป็นศูนย์กลางด้านแฟชั่นและการช้อปปิ้งระดับโลก ได้แก่ สาขามิลาน, โรม เวีย เดล ตริโตเน, โรม เปียซซาฟิอุเม, ตูริน, ฟลอเรนซ์, คัลยารี, ปาแลร์โม, กาตาเนีย และ มอนซ่า รวมพื้นที่ทั้งสิ้นกว่า 74,000 ตารางเมตร ด้วยจำนวนพนักงานกว่า 5,000 คน ล่าสุดในปี 2566 ห้างสรรพสินค้ารีนาเชนเตยังได้สร้างความสำเร็จครั้งสำคัญ ด้วยการทำสถิติยอดขายนิวไฮทะลุ 1 พันล้านยูโร ซึ่งสูงสุดในประวัติศาสตร์ 158 ปีอีกด้วย
ทั้งนี้ความสำเร็จของห้างสรรพสินค้ารีนาเชนเต ถือเป็นความภาคภูมิใจของเซ็นทรัล รีเทล ที่ได้เป็นธุรกิจค้าปลีกไทยรายแรกที่ประสบความสำเร็จในการขยายธุรกิจเข้าไปในประเทศอิตาลี และเข้าไปพัฒนาห้างรีนาเชนเต จนเติบโตแข็งแกร่งและได้เข้ามาเติมเต็มพอร์ต Luxury Retail ของเซ็นทรัล รีเทล ได้อย่างสมบูรณ์แบบ เสริมแกร่งทั้งในด้าน King of Luxury, King of Fashion และ King of Network ตอกย้ำการเป็นผู้นำตลาดลักชูรี่ระดับเวิลด์คลาสของเซ็นทรัล รีเทล ที่สำคัญที่สุด
ความสำเร็จในการสร้างห้างรีนาเชนเต สู่ Luxury Retail อันดับ 1 ในอิตาลี ในวันนี้ ยังเป็นการสร้างความภาคภูมิใจให้กับคนไทยในการนำธงไทยไปปักในเวทีค้าปลีกระดับโลก แสดงให้เห็นว่าค้าปลีกไทยมีศักยภาพสูง และสามารถยืนหนึ่งบน Global Stage ได้อย่างเต็มภาคภูมิ
ขณะที่กลุ่มเซ็นทรัลเองประสบความสำเร็จสำหรับการเป็นลักชัวรี่ รีเทลในตลาดยุโรปและตลาดลักชัวรี่แบรนด์เนมระดับโลก นอกเหนือจากตลาดสหรัฐ โดยบริษัทสามารถเจรจาความร่วมมือกับแบรนด์ระดับโลกได้อย่างง่ายดาย และมีเป้าหมายในการขยายธุรกิจลักชัวรี่ ไลฟ์สไตล์ และการท่องเที่ยวในยุโรปและเอเชียอย่างต่อเนื่อง
นายญนน์ โภคทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร CRC กล่าวว่า ความสำเร็จดังกล่าวเกิดขึ้นมาจากการที่ทางเซ็นทรัลรีเลท ได้ทำการปรับนโยบาลและทิศทางของห้างรีนาเชนเตใหม่ หลังจากที่เราเข้าซื้อกิจการมา จากเดิมที่เป็นห้างสรรพสินค้าแบบดั้งเดิม เราได้ปรับมาเป็นห้างลักส์ชัวรี่ สโตร์ เนื่องจากห้างสรรพสินค้าในรูปแบบเดิมๆ ที่หมดความนิยมและได้หายไปจากตลาดไปเกือบหมดแล้ว ทำให้แต่ละเมืองที่เราเข้าไปแทบจะไม่มีคู่แข่งโดยตรงเลย
นายปิแอร์ลุยจิ ค็อคคินี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ห้างสรรพสินค้ารีนาเชนเต ในเครือเซ็นทรัล รีเทล กล่าวว่า หลังจากที่เซ็นทรัล รีเทล เข้าซื้อกิจการห้างสรรพสินค้ารีนาเชนเต ได้มีการลงทุนครั้งใหญ่ โดยปรับโฉมห้างทุกสาขาทั่วอิตาลี ตั้งแต่ช่วงปี 2554 - 2566 ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยน Traditional Department Store สู่ Luxury Retail อย่างเต็มรูปแบบ และสำหรับก้าวต่อไปของห้างสรรพสินค้ารีนาเชนเต จะมีการยกระดับห้างไปอีกขั้น โดยชูเอกลักษณ์ของรีนาเชนเตที่เป็นมากกว่าห้างสรรพสินค้า สู่การเป็น Media Company
ความหมายของ Media Company คือการนำพื้นที่ของห้างแต่ละส่วนมาใช้เป็นพื้นที่โฆษณา จัดอีเวนต์ รวมทั้งตัวผนังอาคารภายนอกด้วย เพื่อให้แต่ละลักชัวรี่แบรนด์ที่ต้องการมาเช่าใช้พื้นที่ หรือจัดอีเวนต์ ตลอดจนการแร๊พอัพ อาคาร (Wrap Up ) ซึ่งก็คล้ายกับการโฆษณานั่นเอง ซึ่งนับว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก แม้จะมีรายได้ในสัดส่วนที่ยังน้อยอยู่ก็ตาม โดยเมื่อปีที่แล้ว มีสินค้าประมาณ 125 แบรนด์ที่ใช้บริการดังกล่าว เช่น แบรนด์ CHANELที่แร็พอัพตัวอาคาร และมีการเช่าพื้นที่จัดอีเวนท์มากกว่า 280 อีเวนต์ มีสินค้ามากกว่า และสร้างรายได้ประมาณ 4 ล้านยูโร ส่วนปีนี้ตั้งเป้าหมายรายได้ในส่วนนี้ประมาณ 7 ล้านยูโร โดยมีตัวเลขล่าสุดเดือนกันยายน อยู่ที่ 417อีเวนต์
บิ๊กบอส รีนาเชนเต กล่าวต่อว่า ทางห้างได้มีการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ทั้งการปรับโฉมห้างให้สวยงาม, การปรับพอร์ต Brand Mix ให้ทันสมัย, การยกระดับการให้บริการแบบ VIP เช่น บริการ Personal Shopper และการมอบประสบการณ์การช้อปปิ้งที่เหนือกว่าให้แก่ลูกค้า ผ่านการจัดกิจกรรมสุดเอ็กซ์คลูซีฟ เช่น การจัด Brand Take Over ร่วมกับแบรนด์ระดับโลกต่าง ๆ และการจัด Big Events อีกมากมาย ทำให้ห้างรีนาเชนเต สามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง และดึงดูดทั้งลูกค้าโลคอล ลูกค้าชาวไทย และนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกได้ตลอดทั้งปี”
โดยในปี 2566 ห้างสรรพสินค้ารีนาเชนเต ได้สร้างผลการดำเนินธุรกิจได้อย่างโดดเด่น ทั้งด้าน
- ทำสถิติยอดขายนิวไฮทะลุ 1 พันล้านยูโร สูงสุดในประวัติศาสตร์ 158 ปี ซึ่งคิดเป็นยอดขายจากลูกค้าโลคอล 59% และนักท่องเที่ยว 41% โดย 5 อันดับแรกมาจากประเทศสหรัฐอเมริกา, กลุ่มประเทศอาหรับ จีน ไต้หวัน และบราซิล ตามลำดับ ส่วนประเทศที่เติบโตมากที่สุดคือ ซาอุดิอาระเบีย โตขึ้น 24.2%, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โตขึ้น 7.7%, จีน โตขึ้น 3.3%, อเมริกา โตขึ้น 3%
- จำนวนลูกค้าผู้ใช้บริการมากกว่า 20 ล้านราย
- จำนวนสมาชิก Rinascente Card มากกว่า 4 ล้านราย
- จำนวนแบรนด์สินค้า ทั้งแบรนด์หรูและแบรนด์โลคอล รวมมากกว่า 3,600 แบรนด์ และมีสินค้ามากกว่า 558,997 เอสเคยู
นอกจากนี้ยังได้รับอานิสงส์จากเศรษฐกิจภายในประเทศที่มีความมั่นคง แม้ต้องเผชิญกับสถานการณ์ความท้าทายต่าง ๆ โดยเศรษฐกิจของอิตาลีมีอัตราการเติบโตเร็วกว่าที่มีกา 0.1% รคาดการณ์ และเติบโตขึ้นในทุกไตรมาส นับตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี 2564 โดยคาดว่า GDP ของปี 2567 นี้จะขยายตัวอยู่ที่ 1.0% และอัตราเงินเฟ้อจะลดลงเหลือ 1.3%
โดยล่าสุดเเมื่อสิ้นเดือนสิงหาคมปี 2567 กลุ่มประเทศอียู มีจีดีพี เฉลี่ย 0.6% แต่ว่าอิตาลีมีจีดีพีอยู่ที่ 0.9% ส่วนฝรั่งเศสมีจีดีพีอยู่ที่ 1.1% ขณะที่เยอรมันติดลบอยู่ที่ 0.1%
ส่วนอัตราเงินเฟ้อนั้น พบว่า กลุ่มอียู มีประมาณ 2.2% ส่วนอิตาลีอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 1.3% เยอรมัน 2.0% และฝรั่งเศส 2.2%
“แม้ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมจะเป็นอย่างไร ยังมั่นใจว่าตลาดลักส์ชัวรี่ก็ยังคงเติบโตต่อเนื่อง แต่ผู้ประกอบการต้องปรับตัวให้ตรงกับความต้องการของตลาดและการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคด้วย” นายปิแอร์ลุยจิ ค็อคคินี กล่าวย้ำ
จากความสำเร็จในปี 2566 ห้างสรรพสินค้ารีนาเชนเตพร้อมเดินหน้า สร้างการเติบโตต่อเนื่อง เพื่อตอกย้ำการเป็น Media Company อย่างเต็มรูปแบบ ด้วยการปรับตัวให้เท่าทันกับความต้องการของผู้บริโภคที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาในปัจจุบัน และมอบประสบการณ์การช้อปปิ้งและการบริการที่เหนือระดับ ด้วย 3 กลยุทธ์หลักที่จะทำให้ห้างรีนาเชนเต เป็นมากกว่า Store ได้แก่
1. การผสานรีนาเชนเตให้เป็นหนึ่งเดียวกับเอกลักษณ์ของเมือง ห้างสรรพสินค้ารีนาเชนเตแต่ละสาขา จะมีจุดเด่นและสะท้อนจิตวิญญาณของเมืองที่ตั้ง ทั้งในด้านคอนเซปต์การออกแบบอาคาร รูปแบบเสา การตกแต่งภายใน โทนสี รูปทรง วัสดุ ไปจนถึงดีไซน์โลโก้และถุงช้อปปิ้ง ที่แต่ละสาขาจะมีความโดดเด่นไม่ซ้ำกัน พร้อมคัดสรรคอลเลกชันร้านค้าโดดเด่น-แบรนด์เนมชื่อดังประจำเมือง เพื่อถ่ายทอดเรื่องราวและประสบการณ์สุดพิเศษให้กับลูกค้า
2. การเปลี่ยนรีนาเชนเตให้เป็นศูนย์รวมของการใช้ชีวิต โดยเน้น 3 ด้านหลัก คือ
2.1 House of Brand: ครบครันด้วยแบรนด์สินค้าที่ดีที่สุดจากอิตาลีและแบรนด์ระดับโลก ทั้งกลุ่มสินค้าแฟชั่น เครื่องประดับ ความงาม เครื่องใช้ในบ้าน รวมถึงเคาน์เตอร์แบรนด์ลักชูรี่ต่างๆ อาทิ Gucci, Celine, Chanel, Dior, Louis Vuitton และแบรนด์อื่น ๆ อีกมากมาย
2.2 House of Entertainment: รีนาเชนเตไม่ได้เป็นเพียงห้างสรรพสินค้าเพียงอย่างเดียว แต่เป็นศูนย์รวมประสบการณ์ที่สดใหม่ ตื่นเต้น และงดงามเหนือจินตนาการสำหรับลูกค้าทุกคน โดยมีการจัดกิจกรรมสุดเอ็กซ์คลูซีฟมากมาย และ Big Event ที่เป็น Talk of the Town ร่วมกับแบรนด์ระดับโลก โดยในปีนี้ทางรีนาเชนเตเตรียมจัดอีเวนท์พิเศษที่ยิ่งใหญ่ตลอดทั้งปีมากกว่า 400 งาน เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุด พร้อมตอบโจทย์ทุกความต้องการที่หลากหลายของลูกค้าทั่วโลก
2.3 House of Values: มอบประสบการณ์สุดพิเศษให้ลูกค้า ควบคู่ไปกับการเดินหน้าสู่ความยั่งยืนอย่างแท้จริง โดยดำเนินธุรกิจบนแนวคิด “Keep it beautiful” ที่คำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ชุมชน และสังคม รวมถึงให้ความสำคัญกับเรื่องของการให้ความเคารพซึ่งกันและกัน, ความคิดสร้างสรรค์, อารมณ์ความรู้สึก, ความหลากหลายและเท่าเทียม รวมถึงการค้นคว้าวิจัย เพื่อให้เข้าใจความต้องการของผู้บริโภคอย่างลึกซึ้ง
3. ห้างสรรพสินค้ารีนาเชนเต และ Business Model ที่แตกต่างจากห้างอื่นๆ ทำให้ห้างรีนาเชนเต เปรียบเสมือนจุดศูนย์กลางของแบรนด์ต่างๆ และเป็นเหมือนสื่อสิ่งพิมพ์หรือเวทีที่แบรนด์สามารถมานำเสนอจุดเด่นและบอกเล่าเรื่องราวความเป็นตัวเองได้ในพื้นที่ของห้าง เห็นได้จากโปรเจ็กต์ Brand Take Over ที่ห้างรีนาเชนเตได้ร่วมมือกับแบรนด์ชั้นนำต่างๆ มาอย่างต่อเนื่อง เช่น Chanel Beauty จัดกิจกรรม “Chanel Wonderland” แปลงโฉมห้างรีนาเชนเตสาขามิลาน ให้กลายเป็นงานศิลปะสุดเอ็กซ์คลูซีฟที่สว่างไสวไปทั่วทั้งใจกลางเมือง ประดับประดาส่วนหน้าของอาคารด้วยไฟโทนสีทอง พร้อมทั้งตกแต่งไฟให้มีลูกเล่นเป็นคำว่า Chanel เพื่อสื่อถึงเอกลักษณ์ของแบรนด์ และทำให้เกิดภาพที่เป็นลวดลายสวยงามและมีชีวิตชีวา สร้างความตื่นเต้นและความประทับใจให้กับทั้งคนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ถือเป็นการขยายฐานลูกค้า ทำให้เกิดการบอกต่อในวงกว้าง และเสริมสร้างชื่อเสียงให้กับห้างสรรพสินค้ารีนาเชนเตอีกด้วย
“ตลอดระยะเวลามากกว่า 1 ศตวรรษ ห้างสรรพสินค้ารีนาเชนเตได้ดำเนินธุรกิจมาอย่างมั่นคงและแข็งแกร่ง โดยมีแผนที่จะสร้าง Next Big Move คือ การเปิดตัว Beauty Hub ที่ใหญ่ที่สุดในอิตาลี ในปีพ.ศ. 2570 ที่สาขามิลาน บนพื้นที่กว่า 3,000ตารางเมตร ซึ่งตั้งอยู่ข้างๆเป็นอาคารโรงหนังเก่าที่เช่ามา อยู่ระหว่างดำเนินการปรับปรุง ซึ่งการเปิดตัวนี้จะทำให้ห้างรีนาเชนเต กลายเป็น King of Beauty ในอิตาลี และผู้เล่นใหญ่เพียงรายเดียวในโลกของความงาม ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว และน้ำหอมของอิตาลี พร้อมทั้งมีบริการเฉพาะบุคคลอีกมากมาย เช่น ห้องส่วนตัวที่ทันสมัย และทรีทเมนต์เพื่อความงามหลากหลายรายการ ซึ่งการลงทุนครั้งนี้จะช่วยให้ห้างสรรพสินค้ารีนาเชนเต มียอดขายเพิ่มขึ้นกว่า 80 ล้านยูโรต่อปี และมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าทั่วโลก ตอกย้ำการเป็นเบอร์ 1 Luxury Retail ของอิตาลี” นายปิแอร์ลุยจิ กล่าว
อย่างไรก็ตาม นอกจากห้างรีนาเชนเตในนามของเซ็นทรัลรีเทลในอิตาลีแล้ว กลุ่มจิราธิวัฒน์ยังมีห้างหรูในต่างประเทศอีกหลายแห่งในนามของเซ็นทรัลกรุ๊ป ประกอบด้วย 1. ห้างเซลฟริดเจส ในสหราชอาณาจักร รวม 4 สาขา, 2.ห้างบราวน์ โธมัส ในไอร์แลนด์ รวม 6 สาขา และห้างอาร์นอตส์ ในดับลิน 1 สาขา, 3. ห้างดีแบนคอร์ฟ ในเนเธอร์แลนด์ รวม 7 สาขา, 4. ห้างคาเดเว ในเยอรมัน 1สาขา และห้างโอเบอร์โพลลิงเกอร์ 1 สาขา และห้างอัลสแตร์เฮ้าส์ `1 สาขา, 5. ห้างอิลลุม ในเดนมาร์ก 1สาขา และ 6.. ห้าง โกลบุส ในสวิสเซอร์แลนด์ รวม 9 สาขา