- •*1. มุ่งเน้นประสบการณ์ลูกค้า:
- • เน้นการสร้างประสบการณ์ที่เหนือความคาดหวัง
- • ปรับปรุงการบริการให้รวดเร็ว ตอบสนองได้ทันใจ
- • สร้างความสัมพันธ์แบบส่วนบุคคล
- •*2. สร้างความไว้วางใจและความโปร่งใส:
- • เปิดเผยข้อมูลอย่างชัดเจน
- • บริการหลังการขายที่น่าพึงพอใจ
- • สร้างความน่าเชื่อถือผ่านรีวิวและคำรับรองจากลูกค้า
- •*3. มอบคุณค่าเพิ่ม:
- • บริการพิเศษสำหรับลูกค้าประจำ
- • โปรแกรมสะสมคะแนนหรือส่วนลด
- • เนื้อหาหรือกิจกรรมที่สร้างคุณค่าให้ลูกค้า
- •*4. พัฒนาความสัมพันธ์เชิงลึก:
- • ใช้ข้อมูลลูกค้าเพื่อปรับแต่งการบริการ
- • สื่อสารกับลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ
- • จัดกิจกรรมเพื่อสร้างชุมชนลูกค้า
- •*5. ใช้เทคโนโลยีช่วยเหลือ:
- • บริการแบบอัตโนมัติผ่าน Chatbot หรือ AI
- • ระบบการจัดการข้อมูลลูกค้า
- • เครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อปรับปรุงการบริการ
- •*6. การตลาดแบบเนื้อหา:
- • สร้างเนื้อหาคุณภาพสูงที่ตอบโจทย์ลูกค้า
- • ใช้ช่องทางออนไลน์อย่างมีประสิทธิภาพ
- • แบ่งปันความรู้และประสบการณ์
- •*7. สร้างความแตกต่าง:
- • มองหาจุดขายที่แตกต่างจากคู่แข่ง
- • มอบประสบการณ์ที่ไม่ซ้ำใคร
- •*8. เปิดรับคำติชมและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง:
- • ติดตามความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ
- • ปรับปรุงบริการให้ดียิ่งขึ้น
- •*9. สร้างแบรนด์ที่มีจุดยืนที่ชัดเจน:
- • สื่อสารคุณค่าและเอกลักษณ์ของแบรนด์อย่างชัดเจน
- • ยึดมั่นในค่านิยมและวัฒนธรรมของแบรนด์
ในยุคที่ผู้บริโภคต่างคาดหวังเรื่องการดูแลจากผู้ขายมากขึ้น ขณะที่ฝั่งผู้ขายเองก็ต้องการหาวิธีเพื่อให้ลูกค้ารู้สึกประทับใจพร้อมเลือกซื้อสินค้า / บริการระยะยาวจนถึงขั้นเป็น Brand Loyalty แนวทางการตลาดที่น่าสนใจและอยากแนะนำให้นักการตลาดทุกคนได้รู้จักนั่นคือ “Always-On Marketing” อย่างไรก็ตามอาจยังมีข้อสงสัยกันอยู่แน่ ๆ ว่า Always-On Marketing คืออะไร ลองมาศึกษากันอย่างละเอียดพร้อมตามเทรนด์ให้ทัน เพื่อโอกาสแห่งความสำเร็จของตนเองและองค์กร
Always-On Marketing คืออะไร?
Always-On Marketing หรือ AWO คือ กลยุทธ์การตลาดประเภทหนึ่งที่มีจุดประสงค์สำคัญในการสร้างความสัมพันธ์อันดีระยะยาวระหว่างผู้ขายกับผู้ซื้อ ซึ่งธุรกิจในฐานะผู้ขายจำเป็นต้องสร้างความประทับใจไม่ใช่แค่ฉาบฉวยแต่ต้องมองถึงเป้าหมายในอนาคต อีกมุมหนึ่งอาจบอกได้ว่าลักษณะของการตลาดดังกล่าวจะเน้นเรื่องการสร้างปฏิสัมพันธ์ของธุรกิจกับผู้บริโภคอย่างสม่ำเสมอในทุกช่องทางไม่ว่าจะเป็น Social Media เว็บไซต์ ช่องทางออฟไลน์ต่าง ๆ ซึ่งก็มีทั้งเรื่องการให้ข้อมูลน่าสนใจ อัปเดตข้อมูลใหม่ ตอบคำถามที่ลูกค้าอยากรู้ ฯลฯ เพื่อให้ผู้ที่เคยเป็นลูกค้าอยู่ก่อนแล้วรู้สึกประทับใจ ขณะเดียวกันการสื่อสารที่ดียังช่วยดึงดูดกลุ่มเป้าหมายให้เปลี่ยนเป็นลูกค้าใหม่ได้เช่นกัน
เหตุผลที่นักการตลาดควรเลือกกลยุทธ์ Always-On Marketing
นักการตลาดหรือแม้แต่ผู้บริหารยุคนี้ต่างรู้ดีว่าพฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนเปลงได้ตลอดเวลา บวกกับคู่แข่งทั้งหน้าใหม่และหน้าเก่าเองต่างก็พยายามแย่งชิงพื้นที่ส่วนแบ่งการตลาดเพื่อให้ตนเองเติบโตมากขึ้น ลำพังแค่การใช้กลยุทธ์ระยะสั้น หรือแบบชั่วคราวจึงไม่เพียงพอที่จะทำให้ลูกค้าจงรักภักดี หรือสร้าง Brand Loyalty ได้สำเร็จ การนำ Always-On Marketing เข้ามาช่วยจึงเป็นอีกกลยุทธ์ที่พร้อมจะทำให้เกิดความสัมพันธ์อันดีอย่างต่อเนื่องระหว่างธุรกิจกับลูกค้า สร้างความประทับใจ ลูกค้ารู้สึกผูกพัน และมีทัศนคติเชิงบวก นอกจากจะกลับมาซื้อซ้ำบ่อยแล้วยังมักแนะนำให้คนรู้จักเข้ามาเป็นลูกค้าใหม่อีกด้วย
เทคนิคการใช้ Always-On Marketing ให้เกิดผลลัพธ์ที่ดี
เมื่อต้องการสร้างปฏิสัมพันธ์ที่ดีให้กับลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ สิ่งสำคัญของธุรกิจนั่นคือพยายามหาวิธีเพื่อให้ลูกค้าและกลุ่มเป้าหมายพยายามมีส่วนร่วม เกิดความสนใจสินค้า / บริการของคุณมากที่สุด หลักการทำงานของ Always-On Marketing ในเชิงเทคนิคเพื่อสร้างผลลัพธ์ที่ดีจึงสรุปได้ดังนี้
1. การอัปเดตเนื้อหาอย่างสม่ำเสมอ
ส่วนใหญ่แล้วช่องทางการทำ Always-On Marketing ในปัจจุบันย่อมหนีไม่พ้นการใช้สื่อ Social Media ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Instagram, TikTok, YouTube, X (Twitter) ขึ้นอยู่กับการสื่อสารของธุรกิจ สิ่งสำคัญคือต้องมีการสร้างเนื้อหาอัปเดตใหม่ผ่านช่องทางดังกล่าวอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งในกรณีนี้หากคุณทำเว็บไซต์พร้อมด้วย SEO ก็จำเป็นต้องทำในลักษณะเดียวกัน พยายามกระจายคอนเทนต์ให้ครอบคลุมถึงสิ่งที่ลูกค้ามักเกิดความสงสัยแล้วตอบคำถามสิ่งเหล่านั้นภายใต้ความน่าเชื่อถือ และอย่าลืมสอดแทรกไปกับเนื้อหาอื่น เช่น คอนเทนต์แบบเรียลไทม์ คอนเทนต์ตลก เป็นต้น
2. การนำข้อมูลหลังบ้านและเทคโนโลยีเข้ามามีส่วนร่วม
หลักการทำงานของ Always-On Marketing คุณต้องรู้ด้วยว่ากลุ่มเป้าหมายและกลุ่มลูกค้าที่ชัดเจนเป็นใคร ซึ่งสิ่งที่จะช่วยตอบคำถามดังกล่าวได้ตรงมากสุดย่อมหนีไม่พ้นข้อมูลหลังบ้านหลังจากมีการอัปเดตคอนเทนต์ต่าง ๆ ลงไป โดยประเมินว่ากลุ่มคนที่เข้ามารับชมและเกิดปฏิสัมพันธ์ทั้งการกดไลค์ กดแชร์ คอมเมนต์ คือใคร เช่น อายุ เพศ ความสนใจ ฯลฯ จากนั้นจึงเข้าสู่ขั้นตอนการวิเคราะห์เพื่อสร้างสรรค์คอนเทนต์ให้ตอบโจทย์กลุ่มคนดังกล่าวมากที่สุด โดยข้อมูลเหล่านี้ก็ได้มาจากเทคโนโลยีสมัยใหม่ผ่านการตลาดออนไลน์ทั้งสิ้น แถมยังเป็นข้อมูลที่ถูกต้องและยืนยันได้อีกต่างหาก
3. ความรวดเร็วคืออีกหัวใจสำคัญ
นอกจากการทำคอนเทนต์หรือการมีข้อมูลหลังบ้านชั้นยอดแล้ว ความรวดเร็วก็เป็นอีกหัวใจสำคัญที่จะทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จผ่านกลยุทธ์ดังกล่าว เพราะการจะทำให้ลูกค้าประทับใจในระยะยาวมักเริ่มต้นจากการสร้างปฏิสัมพันธ์ที่ดีเสมอโดยเฉพาะยุคที่การสอบถามข้อมูลผ่าน Social Media เป็นเรื่องง่าย หากลูกค้าทักมาเรื่องใดต้องรีบตอลกลับให้เร็วที่สุด อย่างน้อยหากยังไม่รู้คำตอบที่แน่ชัดก็ต้องมีการเกริ่นนำเพื่อให้ลูกค้ารอคอยคำตอบสักครู่ ยิ่งคุณสร้างสัมพันธ์ดี ๆ แบบนี้ได้มากเท่าไหร่ ความน่าประทับใจ การชื่นชม และเปลี่ยนเป็น Brand Loyalty ก็ไม่ใช่เรื่องไกลเกินจริง
ข้อดีของการเลือกทำ Always-On Marketing
- การมีปฏิสัมพันธ์อันดีระหว่างธุรกิจกับลูกค้าสูงขึ้น ลูกค้ารู้สึกใกล้ชิดและมีทัศนคติเชิงบวกต่อแบรนด์ พร้อมเพิ่มโอกาสในการบอกต่อไปยังคนรู้จักอื่น ๆ
- สร้างการเข้าถึงในเชิงสถิติบนโลกออนไลน์อันส่งผลดีต่อการตลาดออนไลน์ในอนาคตไม่ว่าจะเป็น Social Media เว็บไซต์ และอื่น ๆ อันมีผลต่อการทำ SEO และยอดการมองเห็นโพสต์
- เป็นกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ที่มีต้นทุนไม่แพง เพราะเสมือนคุณเองก็ได้ใช้กลยุทธ์การตลาดแบบเดิมแต่เพิ่มเติมจุดประสงค์ด้านผลลัพธ์แบบใหม่เพื่อนำไปต่อยอดในอนาคต
- เพิ่มประสิทธิภาพสำหรับทำการตลาดออนไลน์ให้ดียิ่งขึ้น ออกตัวเร็วกว่าคู่แข่ง 1 ก้าว โอกาสเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดก็เพิ่มขึ้นตามด้วย
ทั้งหมดนี้คือข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับ Always-On Marketing ซึ่งเป็นกลยุทธ์การตลาดที่กำลังถูกพูดถึงมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้านธุรกิจเองต่างก็ต้องมีเป้าหมายระยะยาวด้วยกันทั้งสิ้น การนำเอาความต้องการของแต่ละฝ่ายมาใช้งานร่วมกันจึงเกิดเป็นทางเลือกที่น่าสนใจมาก หากองค์กรไหนอยากลองก็นำข้อมูลไปศึกษาแล้วทำตามกันได้เลย