- 1. •*แก้หนี้รถไฟกว่า 3 แสนล้าน: สุรพงษ์ เสนอแนวคิดแก้ปัญหาหนี้รถไฟ
- 2. •*ค่า PSO ก้อนโต: ปัญหาหลักคือค่า PSO (Public Service Obligation) ที่รัฐจ่ายชดเชยต่ำกว่าจริง ทำให้รถไฟขาดทุน
- 3. •*หารือกับคลังและสำนักงบ: จะหารือกับกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณ เพื่อหาทางออก
- 4. •*ทางเลือกแก้ปัญหา:
- • แฮร์คัท: ลดหนี้
- • วิ่งเท่าที่รัฐอุดหนุน: ปรับลดบริการให้สอดคล้องกับเงินอุดหนุน
- 5. •*เร่งโล๊ะรถไฟร้อน: เปลี่ยนรถไฟร้อนเป็นรถไฟปรับอากาศ
- 6. •*หวังทางคู่เสร็จครบ: เร่งเปิดให้บริการทางคู่ให้ครบ
- 7. •*เปิด Slot ให้เอกชนเช่ารางวิ่ง: เปิดโอกาสให้เอกชนร่วมลงทุนวิ่งรถไฟ
“สุรพงษ์” เปิดแนวคิดแก้หนี้รถไฟกว่า 3 แสนล้าน ชี้ค่า PSO ก้อนโตเหตุรัฐจ่ายชดเชยต่ำกว่าจริง เตรียมถก “คลัง- สำนักงบ” ขอแฮร์คัต หรือวิ่งเท่าที่รัฐอุดหนุนจริง เร่งโละรถร้อน เปลี่ยนติดแอร์ หวังทางคู่เสร็จครบ เปิด SLOT เอกชนเช่ารางร่วมวิ่ง ชี้เป็นภารกิจเร่งด่วนผู้ว่าฯ คนใหม่
นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยถึงแนวทางแก้ปัญหาหนี้สินของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ที่มีรวมกว่า 3.1 แสนล้านบาทว่า ภาระหนี้ส่วนใหญ่มาจากการให้บริการเชิงสังคม (PSO) ที่เก็บค่าโดยสารต่ำกว่าต้นทุน ซึ่ง พ.ร.บ.การรถไฟฯ กรณีบริการเชิงสังคมขาดทุน รัฐต้องจ่ายชดเชยให้ รฟท.แต่ข้อเท็จจริงรัฐจ่ายชดเชยให้ไม่ครบจำนวนที่เกิดขึ้นจริงจึงกลายเป็นภาระหนี้สะสมและเพิ่มขึ้นทุกปี ซึ่งเฉลี่ยมีต้นทุนบริการเชิงสังคมประมาณ 5,000-6,000 ล้านบาท/ปี แต่รัฐจ่ายชดเชยเพียง 1,000-1,500 ล้านบาทต่อปี
ทั้งนี้ รถไฟเป็นองค์กรใหญ่ และมีแผนงานลงทุนก่อสร้างรถไฟทางคู่ โครงการรถไฟความเร็วสูง “ไทย-จีน” วงเงินมหาศาล และเป็นระบบรางเส้นทางหลักในการเดินทางของประเทศ แต่กลับมีหนี้สินล้นพ้นตัว
นายสุรพงษ์กล่าวว่า ตนมีแนวคิดที่จะแก้ปัญหาเรื่องหนี้ PSO หรือตัดหนี้ส่วนนี้ออกจาก รฟท. จะตั้งทีมงานเพื่อศึกษาและกำหนดแนวทางที่เหมาะสม โดยไม่กระทบต่อการให้บริการและไม่เป็นภาระของกลุ่มเปราะบางที่เป็นผู้ใช้บริการเชิงสังคม เพราะจะมีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเป็นเครื่องมือในการแยกกลุ่มเปราะบางซึ่งรัฐมีการอุดหนุนกลุ่มนี้อยู่แล้ว โดยจะต้องมีการหารือผู้เกี่ยวข้องกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) และเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งหากปลดภาระหนี้สินออกเพื่อให้ รฟท.สามารถบริหารจัดการได้ตามข้อเท็จจริง ซึ่งจะมีแนวทางชัดเจนในปี 2568
“ต้องถามรัฐบาลว่าภารกิจเชิงสังคมนี้ไม่บันทึกเป็นหนี้ได้หรือไม่ หรือไม่ต้องลงบัญชีรถไฟ หรือให้ รฟท.บริการเท่ากับจำนวนที่รัฐอุดหนุนได้หรือไม่ เพราะจริงๆ ถือเป็นบริการที่รัฐให้ทำแต่รัฐไม่อุดหนุนตามจำนวน รถไฟจึงเป็นจำเลยสังคมว่าบริหารไม่ดี ขณะที่ รฟท.ไม่ได้ปรับค่าโดยสารมา 34 ปีแล้วด้วย”
นายสุรพงษ์กล่าวว่า ปัจจุบันรถไฟมีบริการ รถเชิงสังคม (PSO) ประมาณ 26 ล้านที่นั่งต่อปี แต่มีผู้โดยสารประมาณ 18.7 ล้านที่นั่งเท่านั้น เท่ากับมีหรือไม่มีคนใช้รถไฟก็ต้องวิ่งเท่าจำนวนนี้ ในขณะที่รถเชิงพาณิชย์มีบริการประมาณ 9.1 ล้านที่นั่งต่อปี แต่มียอดจองเต็ม และพบว่ามียอดจองรอตั๋วอีกจำนวนมาก แสดงว่ารถเชิงพาณิชย์มีน้อยกว่าความต้องการ ส่วนรถเชิงสังคมมีเกินความต้องการ
รฟท.จะอยู่สภาพนี้ต่อไปไม่ได้ จะต้องหาแนวทางที่เหมาะสมเพื่อให้ รฟท.ดีขึ้นกว่านี้ ซึ่งขณะนี้ รฟท.มีแผนเพิ่มขบวนรถเชิงพาณิชย์เพื่อตอบสนองผู้ที่ต้องการเดินทาง โดยดำเนินการปรับปรุงรถโดยสารชั้น 3 (พัดลม) เป็นรถปรับอากาศ เป้าหมายสุดท้ายคือรถไฟไทยจะไม่มีรถร้อนอีกต่อไป ส่วนราคาจะปรับเพิ่มแค่ไหนอย่างไรนั้นจะมีการพิจารณาต่อไป หลักการคือ กลุ่มเปราะบางจะไม่กระทบเพราะมีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
นายสุรพงษ์กล่าวว่า หลังโครงการรถไฟทางคู่ก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์ รฟท.จะต้องปรับการบริหารจัดการเพื่อใช้ประโยชน์จากทางคู่มากขึ้น จากปัจจุบันที่ใช้รางเพียง 20% ที่เหลือไม่ได้ใช้ประโยชน์ มาเป็นใช้ประโยชน์จากรางของระบบทางคู่ 70-80% รายได้จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วยให้มากขึ้น โดยใช้รูปแบบเหมือนสายการบิน จัดการใช้ประโยชน์ทางรางเพิ่ม SLOT เวลาบนราง กม.นี้จะเปิดโอกาสให้เอกชนมาเดินรถบนรางได้ด้วย ซึ่ง พ.ร.บ.การขนส่งทางราง... จะเป็นเครื่องมือช่วยให้นำรางมาใช้ประโยชน์ได้เพิ่มขึ้น โดยมุ่งเน้นไปที่การขนส่งสินค้า ซึ่งประเมินค่าใช้รางอัตรา 20 บาทต่อตันคิว ส่วนรถโดยสารนั้นจะเป็นการให้ใช้ทางฟรี เพราะหากรัฐเก็บค่าใช้รางส่วนนี้ ผู้ประกอบการจะไปบวกเพิ่มกับค่าโดยสาร ประชาชนก็รับภาระอยู่ดี
อย่างไรก็ตาม นโยบายของตนตอนนี้ถือว่าเรื่องที่ต้องแก้ไขเร่งด่วนคือภาระหนี้สินสะสมของ รฟท. และเรื่องนี้จะเป็นภารกิจสำคัญของผู้ว่าฯ รฟท.คนใหม่อีกด้วยที่จะต้องมีแนวทางในการบริหารจัดการองค์กรปรับปรุงและแก้ปัญหาขององค์กร