กรมเจ้าท่า จัดฝึกอบรมและประชุมเชิงปฏิบัติการระดับชาติ จัดการและบริหารการเรียกร้องค่าเสียหายจากมลพิษน้ำมัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ การบริหารจัดการกรณีฉุกเฉิน สร้างความมั่นใจให้ประชาชนภาคธุรกิจและผลกระทบสิ่งแวดล้อม
วันที่ 3 กันยายน 2567 นายภูริพัฒน์ ธีระกุลพิศุทธิ์ รองอธิบดี (ด้านปลอดภัย) กรมเจ้าท่า (จท.) เป็นประธานเปิดโครงการ "ฝึกอบรมและประชุมเชิงปฏิบัติการระดับชาติ เรื่อง การจัดการและบริหารการเรียกร้องค่าเสียหายจากมลพิษน้ำมัน (National workshop on handling and administration of claims from oil pollution damages)" โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชนในกลุ่มอุตสาหกรรมน้ำมัน เข้าร่วมฝึกอบรมฯ
นายภูริพัฒน์ เปิดเผยว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีการพัฒนาในหลายภาคส่วนอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอุตสาหกรรมพลังงาน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมากและมาพร้อมกับความเสี่ยงเช่นกัน โดยเฉพาะมลพิษน้ำมันที่อาจเกิดขึ้นจากการขนส่ง การสำรวจ และการผลิตน้ำมันในทะเล ซึ่งหากเกิดเหตุการณ์น้ำมันรั่วไหลหรืออุบัติเหตุทางทะเลที่ส่งผลให้น้ำมันรั่วลงสู่ทะเล ผลกระทบที่ตามมานั้นมีความรุนแรงและครอบคลุมทั้งในด้านสิ่งแวดล้อม ระบบนิเวศทางทะเล สุขภาพของประชาชน และเศรษฐกิจของประเทศ
ซึ่งการจัดการกับปัญหานี้ไม่เพียงแต่จำเป็นต้องมีการตอบสนองฉุกเฉินอย่างทันท่วงที แต่ยังต้องมีการบริหารจัดการการเรียกร้องค่าเสียหายอย่างเป็นระบบและเป็นกระบวนการที่ซับซ้อน ต้องอาศัยความรู้เฉพาะทาง ซึ่งรวมถึงความเข้าใจในกฎหมายระหว่างประเทศ กฎหมายท้องถิ่น การประเมินความเสียหาย การเจรจาต่อรอง และการจัดการการเงินที่เกี่ยวข้อง
กรมเจ้าท่า ร่วมกับองค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (IMO) กองทุนชดเชยมลพิษน้ำมันระหว่างประเทศ (IOPC Funds) และองค์กร The Global Initiative South East Asia (GI-SEA) จึงจัดการฝึกอบรมและประชุมเชิงปฏิบัติการดังกล่าว ระยะเวลา 3 วัน (ระหว่างวันที่ 3-5 กันยายน 2567) เพื่อสร้างความรู้และทักษะให้แก่เหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและผู้ประกอบการในกลุ่มอุตสาหกรรมน้ำมัน เกิดความรู้ ความเข้าใจ ในการบริหารจัดการการเรียกร้องค่าเสียหายจากมลพิษน้ำมันของประเทศไทยให้ดำเนินการอย่างเป็นประสิทธิภาพ พร้อมทั้งสามารถแลกเปลี่ยนประสบการณ์และความรู้ที่ได้รับจากกรณีศึกษาทั้งในประเทศและต่างประเทศ การจัดการฝึกอบรม เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาการจัดการและบริหารการเรียกร้องค่าเสียหายจากมลพิษน้ำมันให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ยังส่งผลให้ประเทศไทยมีความพร้อมในการจัดการกับสถานการณ์ฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต และสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนและภาคธุรกิจในการปกป้องสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติของประเทศให้คงอยู่ในสภาพที่ดีในระยะยาวต่อไป