xs
xsm
sm
md
lg

ส.อ.ท. เข้าพบนายกรัฐมนตรี เสนอ 5แนวทางกระตุ้น ศก. ไทย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธาน สภาอุตสาหกรรมแหงประเทศไทย ( ส.อ.ท. )พร้อมคณะผู้บริหาร ส.อ.ท. เข้าพบนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและคณะ เพื่อนำเสนอแนวทางกระตุ้นเศรษฐกิจยกระดับอุตสาหกรรมการผลิตไทย และขับเคลื่อนนโยบายร่วมกัน            
 
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ได้เข้าพบนายกรัฐมนตรีและคณะ เพื่อนำเสนอ 5 ข้อเสนอเร่งด่วน และหาแนวทางความร่วมมือในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไปด้วยกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่เอกชนเน้นย้ำเสมอ โดยแบ่งเป็นระยะเร่งด่วน ระยะกลางและระยะยาว
 
ในส่วนของระยะเร่งด่วน ส.อ.ท. เสนอแนะว่า 1) ต้องมีการปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศจากสินค้านำเข้าที่ไม่มีคุณภาพและการทุ่มตลาด โดย

- เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจจับสินค้าไม่มีคุณภาพหรือไม่มีมาตรฐานที่มีการนำเข้าผ่านด่านศุลกากร มีการทดสอบมาตรฐานก่อนนำเข้า เพิ่มจำนวนเครื่องเอกซเรย์ตู้คอนเทนเนอร์ป้องกันการสำแดงเท็จ รวมทั้งตรวจจับสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานในท้องตลาด

- บังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองผู้บริโภคและการแข่งขันทางการค้าอย่างเคร่งครัด รวมถึงการดำเนินการกับผู้กระทำผิดที่นำเข้าสินค้าไม่ได้มาตรฐานเข้าสู่ตลาด

- ออกมาตรการกำกับดูแลผู้ให้บริการแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซจากต่างประเทศ เพื่อป้องกันการทะลักเข้ามาของสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานจากต่างประเทศ

- เชื่อมโยงระบบการบริการข้อมูลหน่วยงานภาครัฐและภาคธุรกิจ หรือ National Single Window (NSW) เพื่อตรวจสอบและอำนวยความสะดวกในการนำเข้าสินค้าที่ต้องมีใบอนุญาต
 
 
  2) ต้องมีการส่งเสริมสินค้าที่ผลิตในประเทศไทย และสินค้าที่ได้รับการรับรอง Made in Thailand (MiT) โดย

- เพิ่มแต้มต่อการจัดซื้อจัดจ้างสินค้า MiT ผ่านวิธี e-bidding จากเดิม 5% เป็น 10% เป็นเวลา 2 ปี เพื่อสร้างกระแสเงินหมุนเวียนให้กับผู้ประกอบการไทย

- กำหนดให้มีการจัดซื้อจัดจ้างสินค้าที่มีมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) แทนการอ้างอิงมาตรฐานต่างประเทศ เพื่อให้หน่วยงานมีความมั่นใจในสินค้า

- ออกมาตรการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี สำหรับภาคเอกชนที่จัดซื้อสินค้าที่ได้รับการรับรอง MIT ให้สามารถนำยอดซื้อมาหักเป็นค่าใช้จ่ายลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า
- ออกมาตรการช่วยอุดหนุนค่าใช้จ่ายในการส่งออกที่ได้รับการรับรอง MiT ไปยังตลาดต่างประเทศ เช่น ค่าระวางเรือ ค่าขนส่งในประเทศ เป็นต้น
 
3) ควรมีการลดต้นทุนด้านการผลิต เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรม ผ่านการดำเนินงานด้านต้นทุนพลังงาน ได้แก่
- คงอัตราค่าไฟฟ้าโดยไม่ปรับเพิ่มขึ้น หรือปรับลดค่า Ft เพื่อรักษาต้นทุนการผลิตของภาคอุตสาหกรรมในสภาวะการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ

- บริหารจัดการความจุสำรอง (Reserve Capacity) ให้อยู่ในระดับไม่สูงเกินไป โดยพิจารณาการเจรจาเลื่อนโรงไฟฟ้าที่จะเกิดใหม่ให้สอดคล้องระหว่างกำลังความต้องการใช้ไฟฟ้าและกำลังการผลิต

- พิจารณาผลดี ผลเสียของการเกลี่ยค่าใช้จ่ายไปในอนาคต โดยขยายสัญญาการผลิตของโรงไฟฟ้า เพื่อลดภาระต้นทุนค่าไฟฟ้า

- ลดเงินประกันการใช้ไฟฟ้า เพื่อเสริมสภาพคล่องในภาคอุตสาหกรรม

- เร่งพิจารณากระบวนการจัดสรรเงินกองทุน เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน และกระตุ้นให้เกิดการอนุรักษ์พลังงานอย่างทั่วถึง โดยเฉพาะผู้ประกอบการ SMEs
 
สำหรับการดำเนินงานด้านต้นทุนแรงงาน
- ควรมีการปรับค่าแรงขั้นต่ำให้เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติกำหนดไว้ในมาตรา 87 แห่ง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 โดยมีคณะอนุกรรมการค่าจ้างไตรภาคีจังหวัดพิจารณาอัตราค่าจ้างขั้นต่ำรายจังหวัด เสนอต่อคณะกรรมการค่าจ้าง พิจารณาให้สอดคล้องกับปัจจัยทางเศรษฐกิจของแต่ละพื้นที่ อัตราเงินเฟ้อ อัตราการเจริญเติบโตของ GDP ความสามารถในการจ่ายของนายจ้าง และประสิทธิภาพของแรงงาน

- ส่งเสริมการปรับอัตราค่าจ้างตามทักษะฝีมือแรงงาน (Pay By Skills) เพื่อส่งเสริมการเพิ่มผลิตภาพแรงงานควบคู่ไปกับการเพิ่มรายได้ให้แก่แรงงาน

- ผลักดันให้ผลิตภาพแรงงานเป็นวาระแห่งชาติ ให้กระทรวงแรงงานเป็นกระทรวงหลักในการดำเนินการ

- พัฒนาทักษะฝีมือแรงงานทั้ง Upskill/ Reskill/ Multi-Skill/ Future Skill ให้ตรงตามความต้องการของผู้ประกอบการและตลาดแรงงาน สอดรับเศรษฐกิจยุคดิจิทัล

- ประสานความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคการศึกษาในการจัดทำหลักสูตรการเรียนการสอนที่สนองตอบความต้องการของตลาดแรงงาน

- จัดทำแพลตฟอร์ม Future Skill ที่ครบวงจร โดยมีงบประมาณสนับสนุนการฝึกและพัฒนาอาชีพ
 
4) ควรมีการส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการ SME ผ่านแนวทางต่างๆ ดังนี้

- ออกมาตรการทางการเงินเพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้กับ SME ไทย การผ่อนปรนคุณสมบัติของผู้กู้ ณ เงื่อนไขที่ SME กู้เงินไม่ได้ เช่น การดูประวัติ NPL ไม่มีหลักทรัพย์ เป็นสาขาธุรกิจที่มีความเสี่ยงหรืออื่นๆ ซึ่งธนาคารกำหนดไว้และเป็นประเด็นที่เป็นปัญหาในการเข้าถึงสินเชื่อของ SME มาโดยตลอด

- จัดสรรวงเงินเฉพาะเพื่อช่วยเหลือ SME ที่อยู่ระหว่างปรับโครงสร้างหนี้เพื่อประคองธุรกิจ พร้อมให้คำปรึกษาในการปรับปรุงและพัฒนาธุรกิจควบคู่ไปด้วย
 
  - ผ่อนปรนเงื่อนไขการพิจารณาปล่อยสินเชื่อกับ SME สาหรับลูกค้าที่ติดเครดิตบูโรเกิน 1 ปี โดยไม่นำเอาประวัติการติดเครดิตบูโรในอดีตมาใช้เป็นเกณฑ์ในการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อ หาก ณ วันที่ยื่นขอสินเชื่อผู้ประกอบการไม่เป็น NPLs แล้ว

- ออกมาตรการสินเชื่อพิเศษ เพื่อช่วยเหลือและส่งเสริม SME โดยอัตราดอกเบี้ย 2 – 3% คงที่เป็นเวลา 3 ปี โดยขยายครอบคลุมทั้งการลงทุนและเงินหมุนเวียนในกิจการ

- ขอให้สถาบันการเงินเปิดให้มีการปรับเพิ่มระยะเวลาการผ่อนเป็นทางเลือก รวมทั้งปรับลดค่าธรรมเนียมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาสินเชื่อ เพื่อช่วยเหลือเรื่องสภาพคล่อง

- ขอให้สถาบันการเงินและบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) คิดค่าธรรมเนียมการค้ำประกันอย่างเป็นธรรม

นอกจากนี้ ส.อ.ท. ยังมีการส่งเสริมและผลักดัน SME สู่ Smart SME ด้วย 4 GO คือ

1. GO Digital: สนับสนุนการลงทุนพัฒนาไปสู่ Digital Transformation 4.0 เพื่อยกระดับขีดความสามารถภาคอุตสาหกรรมการผลิต และ SMEs ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค

2. GO Innovation: สร้างหน่วยงานกลางและหน่วยงานความเชี่ยวชาญทางด้านธุรกิจนวัตกรรมที่เข้มแข็งในแต่ละภูมิภาค สนับสนุนการวิจัยและพัฒนาในส่วนที่สำคัญของอุตสาหกรรม และการจัดหาตลาดรองรับสินค้านวัตกรรม

3. GO Global: สร้างโอกาสด้านการตลาดต่างประเทศให้กับ SME ที่มีศักยภาพ การจัดงานแสดงสินค้าไทยในต่างประเทศจากรัฐบาลทั่วทุกมุมโลก การพัฒนาแพลตฟอร์มการซื้อขายของไทยให้เป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมมากขึ้น และการเตรียมความพร้อมให้ SME มีศักยภาพสู่ตลาดต่างประเทศในรูปแบบต่างๆ

4. GO Green: การให้ความรู้แก่ SME และสนับสนุนให้ SME ปรับธุรกิจไปสู่ธุรกิจสีเขียวสนับสนุนเงินทุนสำหรับการขอการรับรองด้านสิ่งแวดล้อมแก่ SME รวมถึงการให้แต้มต่อด้านการจัดซื้อจัดจ้างภาครับและภาษีแก่สินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
 
  5) ควรมีการส่งเสริมการค้าชายแดน และพัฒนาระบบโลจิสติกส์

- เจรจาหารือกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อพิจารณายกระดับจุดผ่อนปรนพิเศษทางการค้าและจุดผ่อนปรนทางการค้า ให้เป็นจุดผ่านแดนถาวร

- นำเสนอให้มีการจัดตั้งคณะทำงานร่วมไทย-ลาว เพื่อสร้างความร่วมมือด้านการขนส่งสินค้าผ่านด่านท่าบก ท่านาแล้ง สปป.ลาว เพื่อแก้ไขข้อจำกัดและอุปสรรคการขนส่งสินค้าจากไทยผ่านไปยังท่าบกของ สปป.ลาว

- แก้ไขข้อจำกัด อุปสรรคนโยบายรัฐและพัฒนาโครงข่ายระบบรางภายในประเทศ

- จัดตั้งคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน เพื่อกำหนดยุทธศาสตร์แนวทางการพัฒนาส่งเสริมโครงข่ายเชื่อมโยงระบบรางของไทยกับประเทศเพื่อนบ้านและภูมิภาค

- ส่งเสริมและเพิ่มประสิทธิภาพการนำเข้า – ส่งออกสินค้าทางอากาศ
 
สำหรับการดำเนินการระยะกลางและระยะยาว ส.อ.ท. มีข้อเสนอแนะเพิ่มเติม ดังนี้
1) ควรมีการส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน รักษาฐานการผลิตยานยนต์ของไทย ผ่านวิธีการต่างๆ ดังนี้

- รักษาและต่อยอดความเป็นฐานการผลิตยานยนต์และชิ้นส่วนที่เป็น Future ICE (Future Internal Combustion Engine) ให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก

- ขยายสู่ตลาดต่างประเทศ เช่น เร่งรัดการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ในกลุ่มประเทศที่ยังมีการใช้เครื่องยนต์ ICE โดยเฉพาะตะวันออกกลาง แอฟริกาใต้ และอเมริกาใต้

- กระตุ้นการผลิตอุตสาหกรรมยานยนต์ภายในประเทศ เช่น สนับสนุนแนวทางการกำหนดโครงสร้างภาษีสรรพสามิตสาหรับยานยนต์ที่จะบังคับใช้ปี 2569 ออกมาตรการส่งเสริมการผลิตยานยนต์ในกลุ่ม Future ICE (Product champion, HEV, PHEV, REEV) ผลักดันให้หน่วยงานภาครัฐมีการกำหนดมาตรฐานมลพิษ (Euro 5 สำหรับรถจักรยานยนต์ และ Euro 6 สำหรับรถยนต์ขนาดใหญ่) ให้มีความเหมาะสม
 
- ส่งเสริมประสิทธิภาพการผลิตชิ้นส่วนประเภทอะไหล่ทดแทน  REM (Replacement Equipment Manufacturing)

- สร้างอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนสมัยใหม่ เตรียมพร้อมสู่ทิศทางความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ทั้งการผลักดันนโยบายให้มีความต่อเนื่อง ยกระดับให้ผู้ประกอบการไทยเข้าสู่ห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ยานยนต์สมัยใหม่อย่างเป็นรูปธรรม

- จัดตั้งกองทุนสนับสนุน หรือกำหนดมาตรการทางภาษี เพื่อส่งเสริมการลงทุน และการเตรียมพร้อมการรับมือกับมาตรการทางคาร์บอน

ช- ส่งเสริมนโยบายการเปลี่ยนผ่านชิ้นส่วนยานยนต์ (Part Transformation) เข้าสู่อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ และอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพอื่นๆ ทั้งเครื่องมือแพทย์ ระบบราง อากาศยาน และ Robot & Automation รวมทั้งสร้างกลไกการจับคู่บริษัทผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทยกับต่างชาติ เพื่อเพิ่มการผลิตในประเทศ (Localization) และต่อยอดสู่ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์กำลัง (Power Electronic Parts)
 
ิ2) ควรมีการพัฒนาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์และซอฟต์พาวเวอร์ในประเทศไทย ผ่านอุตสาหกรรมต่างๆ อาทิ
อุตสาหกรรมอาหาร
- มุ่งเน้นการพัฒนามาตรฐาน คุณภาพและประสิทธิภาพของห่วงโซ่อุปทาน เพื่อให้ประเทศไทยสามารถขยับจากลำดับที่ 12 สู่ TOP 10 ในการส่งออกอาหารระดับโลกในอนาคต

- เปิดร้านอาหารไทยที่มีมาตรฐานในต่างประเทศ (B2B)

- ผลักดันวัตถุดิบและเครื่องปรุงรสแบรนด์ไทยสู่ตลาดโลก (B2C)

- ใช้ Influencer เพื่อสร้างกระแสความนิยมและความต้องการสินค้าอาหารไทย ต่อยอดไปสู่การท่องเที่ยวเชิงอาหารในประเทศไทย
 
  สำหรับอุตสาหกรรมแฟชั่น

- ตั้งเป้าหมายสร้างอัตลักษณ์ของการแต่งกายไทยผ่านการส่งเสริม “THAINESS LIFESTYLE” ด้วยการนำเสนอผ่านสื่อและพัฒนาเครื่องหมายที่สะท้อนความเป็นไทย เช่น “HAPPY THAI” เพื่อให้เอกลักษณ์การแต่งกายไทยเป็นที่ยอมรับและเข้าถึงได้ง่ายขึ้นทั้งในและต่างประเทศ และวางแผนพัฒนาประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางอัญมณีระดับนานาชาติ โดยมุ่งเน้นการยกระดับมาตรฐานและคุณภาพของอัญมณีไทยให้เป็นที่ยอมรับในตลาดโลก
 
อุตสาหกรรมเกม
- พัฒนาและสนับสนุนการสร้างเกมไทยให้สามารถเข้าสู่ระดับโลก โดยตั้งเป้าหมายให้มีเกมไทยติดอันดับ TOP TEN ของเกมระดับโลกในระยะ 5 ปี เช่น ให้หน่วยงานรัฐอย่างสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล(DEPA)ประเมินมูลค่าและโอกาสในการลงทุน และเสนอส่วนลดภาษีสำหรับการลงทุนและการนำเข้าอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง

- ส่งเสริมการส่งออกเกมไทยและสนับสนุนการตลาดออนไลน์ผ่านผู้คัดเลือกตัวแสดง (Caster) กลางและยาว
 
การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม
- จังหวัดจันทบุรีได้รับเลือกเป็นจังหวัดนำร่องในการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม โดยมีแผนการสนับสนุน Soft Power ในทุกจังหวัดผ่านการผลิตรายการสื่อ เช่น "One Province, One Series"
 
  3) ควรมีการปรับปรุงกฎหมาย กฎระเบียบ เพื่อส่งเสริมความยากง่ายในการประกอบธุรกิจ (Ease of Doing Business) และเพิ่มการเติบโตทางเศรษฐกิจ

- กำหนดให้การปฏิรูปกฎหมาย (Regulatory Reform) เป็นวาระแห่งชาติ โดยใช้กลไกผ่านวิธีการแก้ไขกฎหมายกลาง (Omnibus Laws) และ Regulatory Guillotine

- ผลักดันข้อเสนอของคณะกรรมการพัฒนากฎหมาย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา โดยรัฐบาลสนับสนุน ข้อสรุปผลการพิจารณาของคณะกรรมการพัฒนากฎหมายฯ และผลักดันแก้ไขกฎหมายเพื่อลดอุปสรรคการดำเนินธุรกิจดังกล่าว
 
ทั้งนี้ มติที่ประชุม เห็นด้วยกับข้อเสนอ ส.อ.ท. โดยหลังจากจัดตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ จะมอบหมายเจ้าภาพในการขับเคลื่อนข้อเสนอร่วมกัน รวมทั้งจะรื้อฟื้นการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเป็นรายอุตสาหกรรม เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมให้เติบโตและเห็นผลเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น


กำลังโหลดความคิดเห็น