บ้านปู เพาเวอร์ กำเงินลงทุน 3 ปีนี้ 500-700 ล้านเหรียญสหรัฐเร่งทำดิวดิลิเจนซ์เพื่อ M&A โรงไฟฟ้าก๊าซฯ ในสหรัฐฯ เพิ่มเติม รองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าในสหรัฐฯ ที่เพิ่มสูงขึ้น ลั่นคลอดแผนธุรกิจฯช่วงปี 2568-73 ภายในพฤศจิกายนนี้ มุ่งการขยายพอร์ตให้ครอบคลุมมากไปกว่าการเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้า (Beyond Megawatts Portfolio) ธุรกิจเกี่ยวกับ Decarbonization และพลังงานแอมโมเนียและไฮโดรเจน
นายอิศรา นิโรภาส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BPP เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างปรับแผนธุรกิจระยะยาวในปี 2568-73 ใหม่คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนพฤศจิกายนนี้ โดยแผนใหม่นี้จะกำหนดงบลงทุน เป้าหมายการผลิตไฟฟ้าใหม่ จากเดิมที่เคยตั้งเป้าไว้ที่ 5,300 เมกะวัตต์ในปี 2568 เพื่อให้สอดคล้องการดำเนินธุรกิจในปัจจุบัน โดยบริษัทมุ่งเปลี่ยนผ่านธุรกิจโดยขยายพอร์ตให้ครอบคลุมมากไปกว่าการเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้า (Beyond Megawatts Portfolio) การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน (Energy Infrastructure) ธุรกิจเกี่ยวกับ Decarbonization เช่น ธุรกิจแบตเตอรี่และระบบกักเก็บพลังงาน โครงการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture Utilization and Storage: CCUS) ธุรกิจพลังงานอนาคตอย่างแอมโมเนียและไฮโดรเจน รวมทั้งเทคโนโลยีพลังงาน เป็นต้น
ทั้งนี้ บริษัทได้มุ่งแสวงหาโอกาสการลงทุนธุรกิจไฟฟ้าเพิ่มเติมในสหรัฐอเมริกา เน้นการเข้าซื้อกิจการ (M&A) โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ CCGT (Combined Cycle Gas Turbines) ที่ผลิตเชิงพาณิชย์แล้วเป็นหลัก เพื่อให้สามารถรับรู้รายได้จากการดำเนินงานทันที อีกทั้งความต้องการใช้ไฟฟ้าในสหรัฐฯ เพิ่มสูงขึ้นรับการใช้ไฟฟ้าจากธุรกิจดาต้า เซ็นเตอร์และ AI ซึ่งขณะนี้ BPP อยู่ระหว่างการตรวจสอบฐานะการเงินธุรกิจ (Due Diligence) โรงไฟฟ้า CCGT ในสหรัฐฯ ก่อนตัดสินใจทำ M&A
ปัจจุบัน BPP มีโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติอยู่แล้ว 2 แห่ง คือโรงไฟฟ้า Temple I และโรงไฟฟ้า Temple II ในรัฐเทกซัส โดยโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ CCGT ถือเป็นสินทรัพย์ที่ไม่เพียงสามารถสร้างกระแสเงินสดอย่างสม่ำเสมอให้แก่บริษัทฯ แต่ยังสร้างโอกาสการทำผลกำไรสูงจากรูปแบบตลาดไฟฟ้าเสรี ซึ่ง BPP มีประสบการณ์การทำธุรกิจตลาดไฟฟ้าเสรี ERCOT (Electric Reliability Council of Texas) ในรัฐเทกซัส
นายอิศรากล่าวถึงส่วนโครงการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CCUS) บริษัทได้ลงทุนในโครงการ Cotton Cove ซึ่งนับเป็นโครงการ CCUS แห่งแรกของ BPP ที่ดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้วในปลายปี2566 โดยมีอัตรากักเก็บคาร์บอนเฉลี่ย 45,000 เมตริกตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี และยังมีโครงการที่อยู่ในระหว่างการศึกษาเพิ่มเติมอีก
ส่วนงบลงทุนในช่วง 3 ปี (ปี 2567-69) ราว 500-700 ล้านเหรียญสหรัฐรองรับการ M&A เป็นหลัก ขณะเดียวกันบริษัทมีศักยภาพในการก่อหนี้ได้อีกมาก เนื่องจากมี Net D/E ต่ำเพียง 0.5 เท่า
แนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/2567 คาดว่าการดำเนินงานจะเติบโตดีมากขึ้น เนื่องจากเป็นช่วงฤดูร้อน ทำให้มีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูง ส่งผลให้ครึ่งหลังปี 2567 ปรับตัวดีขึ้นกว่าครึ่งปีแรก ช่วยหนุนกำไรปีนี้จะใกล้เคียงกับปีก่อนที่ระดับประมาณ 4,000 ล้านบาท ไม่นับรวมรายการกำไรพิเศษจากการขายสินทรัพย์ประมาณ 1,300 ล้านบาท ทั้งนี้ครึ่งแรกปี 2567 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 1,659 ล้านบาท
ปัจจุบันบริษัทฯ มีกำลังการผลิตแตะ 3,656 เมกะวัตต์ ซึ่งนับรวมโครงการที่จ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ Ponder Solar ขนาด 2.5 เมกะวัตต์ที่จ่ายไฟเชิงพาณิชย์แล้วเมื่อวันที่ 19 ส.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญของบริษัทในการขยายธุรกิจพลังงานหมุนเวียนในสหรัฐฯ