xs
xsm
sm
md
lg

“นันยาง” ลุยหยุดบูลลี่โต13%ปีที่แล้ว รองเท้านักเรียน5พันล.ชิงแบ็กทูสคูล

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผูู้จัดการรายวัน 360 – “นันยาง” ประเมิน ตลาดแบ็กทูสคูลรองเท้าช่วงต้นนี้ยังไม่คึกคัก หลังกำลังซื้อหมดไปกับช่วงหยุดยาวสงกรานต์ คาดหลังจากนี้คงเริ่มดีขึ้น โชว์ผลงานปีที่แล้วนันยางเติบโตมากถึง 13% รั้งผู้นำอีกต่อเนื่องด้วยแชร์ 45% จากตลาดรวม 5 พันล้านบาท ที่โตเพียง 3% ปีนี้เดินหน้าต่อหยุดการบูลลี่ เปิดแคมเปญ “พอดีไม่เหมือนกัน”


ดร.จักรพล จันทวิมล กรรมการผู้จัดการ บริษัท นันยางมาร์เก็ตติ้ง จำกัด กล่าวว่า บรรยากาศช่วงแบ็คทูสคูลปีนี้ (Back to School) ในช่วงนี้ดูเหมือนจะยังไม่คึกคักเท่าที่ควร จากลังซื้อของผู้บริโภค เนื่องจากที่ผ่านมามีการใช้จ่ายไปมากโดยเฉพาะในช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมาที่มีวันหยุดยาว อีกทั้งอาจจะยังเป็นช่วงเริ่มต้นของแบ็กทูสคูลก็ได้ แต่คาดว่าหลังจากนี้สถานการณ์การซื้อขายจะเริ่มดีขึ้นต่อเนืื่อง ซึ่งแบ็กทูสคูลจะเริ่มตั้งแต่ปลายเมษายน และจะเข้าสู่ช่วงจับจ่ายมากหรือช่วงพีคคือ ต้นพฤษภาคมถึงกลางมิถุนายน

โดยพฤติกรรมการจับจ่ายที่พบคือ นักเรียนประถมจะซื้อสินค้าก่อนนักเรียนมัธยม นักเรียนโรงเรียนเดิมจะซื้อก่อนนักเรียนที่ย้ายโรงเรียนใหม่ และนักเรียนมักจะซื้อเสื้อผ้้าก่อนรองเท้า และรองเท้านักเรียนจะมีสัดส่วนยอดขายมาก 80% ในช่วงเปิดเทอมใหม่ และสัดส่วน 20% ในช่วงเปิดเทอมสอง


สำหรับตลาดรวมรองเท้านักเรียนในปี2567่นี้คาดวาจะมีการเติบโตประมาณ 1%-3% จากปีที่แล้วที่ตลาดรวมเติบโต 3% จากมูลค่าตลาดรวมรองเท้านักเรียนมากกว่า 5,000 ล้านบาทจากผู้ประกอบการหลักประมาณ 15 แบรนด์ โดยแบ่งสัดส่วนตลาดเปฺ็น รองเท้าผ้าใบ 60% รองเท้านักเรียนหญิงพีวีซี 35% และ อื่นๆ 5%

ขณะที่แบรนด์นันยางในปีที่แล้วมีการเติบโตมากถึง 13.76% จากเดิมตั้งแต่ปี 2563 – 2565 เติบโตเฉลี่ยปีละ 2% มีส่วนแบ่งตลาดรองเท้าผ้าใบนักเรียนที่ 45% เนื่องจากการทำตลาดต่อเนื่องทั้งการออกแคมเปญต่างๆ การจัดกิจกรรมพิเศษ การออกสินค้ารุ่นใหม่ เป็นต้น ส่วนปี2567 นี้นันยางตั้งเป้าหมายการเติบโตไว้ที่ 3%-5%

โดยช่องทางจำหน่ายของนันยาง มีทั้งเทรดดิชันนัลเทรด ผ่านร้านค้ามากกว่า 4,000 ร้านค้า มีสัดส่วน 70% ช่องทางโมเดิร์นเทรด สัดส่วน 20% และช่องทางออนไลน์ 10%

ดร.จักรพล กล่าวว่า ล่าสุดนันยางสร้างสรรค์แคมเปญ “พอดีไม่เหมือนกัน” เพื่อยุติการสร้างแรงกดดันและความคาดหวังกับตัวเองมากเกินไป หรือนำตัวเองไปเปรียบเทียบกับเพื่อนๆ เพราะจะทำให้บั่นทอนศักยภาพการใช้ชีวิตซึ่งเชื่อว่าจะช่วยเป็นที่พึ่งทางความคิดของเด็กนักเรียนได้อย่างดี ซึ่งถือเป็นการทำแคมเปญต่อต้านการบูลลี่มาตั้งแต่ปี 2565 ที่ทำแคมเปญชื่อว่า ”นันยางรุ่นใหญ่ไม่บูลลี่” และปี2566 กับแคมเปญชื่อว่า “บูลลี่ โน มอร์”


ข้อมูลจากกรมสุขภาพจิต พบสถานการณ์สุขภาพจิตของเยาวชนไทย ในช่วงปี 2563-2567 มีความเครียดสูง 24.83% มีภาวะเสี่ยงซึมเศร้า 29.51% และเสี่ยงฆ่าตัวตายสูงถึง 20.35% ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงกว่าวัยอื่นๆ สาเหตุส่วนหนึ่งเกิดจากความเครียด ความเหนื่อยล้า ซึ่งถือเป็นปัญหาที่ต้องเร่งให้ความช่วยเหลือ และยังทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ สาเหตุนันยางเลือกทำแคมเปญ “พอดีไม่เหมือนกัน” ให้นักเรียนเลิกกดดันตัวเอง เพราะพบว่าปัญหาดังกล่าวเกิดเพิ่มขึ้นมาก และเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นภายในจิตใจของเด็ก หากเด็กไม่พูดหรือไม่มีพื้นที่ที่จะรับฟังก็เท่ากับไร้ที่พึ่ง “การกดดันเหยียบย่ำตัวเอง หรือ Self-bully เป็นปัญหามองไม่เห็นด้วยตาเพราะเกิดขึ้นภายในจิตใจ วัยรุ่นมักไม่รู้ตัวว่ากำลังเกิดความคิดและพฤติกรรมที่บั่นทอนศักยภาพการใช้ชีวิตของตนเอง ส่วนหนึ่งเพราะเป็นสิ่งที่ได้ซึบซับมาจากสภาพแวดล้อม ผู้ใหญ่และคนรอบข้างก็มองไม่เห็น หรือมองว่าเด็กไม่มีเรื่องเครียดอะไรมาก ทำให้ไม่ทันได้สังเกตหรือรับฟังกัน ดังนั้นจะเป็นเรื่องดีที่แคมเปญนี้เป็นกระบอกเสียงให้ทุกคนที่กำลังรู้สึกแย่จากตัดสินและตำหนิตัวเองมากเกินไปได้มีที่ปรึกษาในการบรรเทาปัญหาดังกล่าว” ดร.จักรพล กล่าวถึงที่มาของแคมเปญ “พอดีไม่เหมือนกัน”


นางสาวกันตพร สวนศิลป์พงศ์ นักจิตวิทยาการปรึกษาผู้ร่วมก่อตั้ง MASTERPEACE และ ผศ.ดร.กันนิกา เพิ่มพูนพัฒนา กรรมการบริหารหลักสูตรวิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาพัฒนาการมนุษย์ สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล ที่ร่วมนำเสนอผลการสำรวจข้อมูลการเกิด Self-bully ในเด็กนักเรียนว่า “การสำรวจข้อมูลจากทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ พบว่าวัยรุ่นอายุ 12-18 ปีกำลังอยู่ในช่วงเวลาที่ท้าทายด้านสุขภาพจิต เพราะเป็นวัยที่กำลังค้นหาอัตลักษณ์ตัวเองส่งผลให้เกิดการกดดันตัวเอง นอกจากสังคมรอบข้างจะเรียกร้องให้เขาประสบความสำเร็จแล้ว โลกโซเชียลคืออีกปัจจัยที่มำให้เขาเกิดการเปรียบเทียบตัวเองกับคนรอบข้างได้ง่ายขึ้นด้วย

นอกจากผลการวิจัยในครั้งนี้ ประสบการณ์ทำงานส่วนตัวก็พบว่าวัยรุ่นมีความรู้สึกกดดันตัวเองและรู้สึกว่าตัวเอง ‘ยังดีไม่พอ’ ซึ่งปรากฏการณ์นี้บอกว่าไม่ใช่แค่คุณครูหรือนักจิตวิทยาที่มีหน้าที่สื่อสารและแนะนำให้เขาหัดเป็นเพื่อนกับตัวเองได้มากขึ้น แต่ทุกคนมีส่วนในการเป็นกระบอกเสียงกับสังคมและช่วยเหลือเรื่องนี้ด้วยการเป็นสภาพแวดล้อมที่ดีให้วัยรุ่นได้ ไม่กดดัน ทำให้เขาตระหนักรู้และเข้าใจ ว่าเขามีจังหวะค่อยๆ ไปต่อได้ เขาดีพอนะ ดีกว่ารอให้ปัญหาใจติดอยู่กับเขาจนมันบานปลายในวัยผู้ใหญ่”


สำหรับแคมเปญ “พอดีไม่เหมือนกัน” นั้น ได้เริ่มขึ้นแล้วตั้งแต่ 26 เมษายน ที่ผ่านมา โดยเริ่มจากกิจกรรม ตู้ถ่ายภาพอินเทรนด์ให้ได้มาถ่ายรูปรอยเท้าตัวเอง เพื่ออวดรอยเท้าพอดีไม่เหมือนกันของทุกคน ซึ่งจะจัดงานถึงวันที่ 5 พฤษภาคมนี้ที่ ลิโด้ สยามสแควร์ รวมถึงการสร้างสรรค์เพลง พอดีไม่เหมือนกัน ที่มีเนื้อหาให้กำลังใจและหันกลับมาดูแลใจตัวเอง และที่สำคัญที่สุดคือการพัฒนาแพลตฟอร์ม “ดูใจตน วอลเล็ต” เติมความใจดีให้กับตัวเอง โดยเปิดช่องทางในการรับฟัง เข้าใจ และให้คำแนะนำแก่ผู้ที่กำลังเผชิญหน้ากับการกดดันตนเอง ให้กลับมาใจดีกับตัวเองให้มากขึ้น สนุกไปกับแต่ละก้าวของชีวิต เพราะนันยางเชื่อว่า ทุกคนต่างดีพอและมีความพอดีที่ไม่เหมือนกัน ผ่านทาง www.พอดีไม่เหมือนกัน.com

โดย “ดูใจตน วอลเล็ต” นั้น เป็นการชักชวนให้วัยรุ่นได้มาสำรวจใจตัวเอง ผ่านแบบประเมินทางจิตวิทยาเพื่อสำรวจความใจดีกับตัวเอง แบ่งปันข้อความปลอบประโลมใจ เพื่อสร้างความตระหนักรู้ ส่งเสริมสุขภาวะที่ดี ป้องกันปัญหาสุขภาพใจ และช่วยให้นักเรียนรู้สึกเบากับความรู้สึกและปัญหาที่ต้องเผชิญมากขึ้น เพราะคนแต่ละคนมีดีในแบบของตนเอง ลดการเปรียบเทียบกับผู้อื่นให้น้อยลง

“ความคาดหวังของเราต่อแคมเปญ “พอดีไม่เหมือนกัน” คือเป็นส่วนหนึ่งที่ได้สร้างความตระหนักรู้ให้แก่วัยรุ่น ชวนกลับมาสำรวจตัวเองเติมความใจดีต่อตนเอง เพื่อให้รู้ตัวว่ากำลังปฏิบัติกับตัวเองแบบไหนในวันที่เจอ อุปสรรค สิ่งสำคัญคือวิธีการที่เราจะรับมือดูแลใจตัวเอง เลือกที่จะไม่เหยียบย่ำตัวเอง และที่สำคัญที่สุดคือ ความเป็นตัวเองของแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน เราไม่จำเป็นต้องพยายามวิ่งให้เร็วเท่าใคร กลับมาฟังเสียงภายในตัวเองให้ดังกว่าเสียงคอมเมนต์หรือคำวิจารณ์ของคนภายนอก เพื่อสร้างเสริมใจให้แข็งแรงเพื่อใช้ชีวิตตาม เส้นทางและจังหวะก้าวของตัวเองได้อย่างเต็มที่และมีความสุขที่สุด” ดร.จักรพล กล่าว




กำลังโหลดความคิดเห็น