GULF ศึกษาแผนขยายลงทุนในตะวันออกกลางเพิ่มเติม พร้อมดึง AIS- Singtel ลุยดาต้าเซ็นเตอร์ คาดเปิดดำเนินการได้ปีหน้า ลั่นตั้งเป้าส่วนมาร์เกตแชร์ 30-40% ตลาดคริปโตฯ ในไทย
นายสารัชถ์ รัตนาวะดี รองประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF เปิดเผยว่า บริษัทคงเดินหน้าในการขยายการลงทุนทั้งในไทยและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทได้มีการศึกษาการขยายการลงทุนในตะวันออกกลางเพิ่มเติม จากปัจจุบันลงทุนในธุรกิจไฟฟ้าในโอมาน ซึ่งปัจจุบันกัลฟ์มีการลงทุนต่างประเทศทั้งในเวียดนาม, เยอรมนี, สหรัฐฯ และอังกฤษ
นอกจากนี้ บริษัทยังได้ลงทุนในธุรกิจอื่นๆ เช่น การสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ร่วมกับ AIS และ Singtel คาดว่าจะเปิดดำเนินการปี 2568 ซึ่งมองว่าธุรกิจดังกล่าวมีโอกาสขยายตัวสูง เนื่องจากเป็นธุรกิจที่มีการเติบโตสูง มีความต้องการในการเก็บข้อมูลที่มากขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งจากองค์กรภาครัฐและภาคเอกชน ขณะที่การลงทุนถือหุ้นใน THCOM ปีนี้น่าจะกำไร 400-500 ล้านบาท เชื่อว่าในอนาคตจะมีแนวโน้มดีมากขึ้นเพราะการเมืองไทยมีเสถียรภาพมากขึ้น โดย GULF ยังเน้นนโยบายการสร้างการเติบโตและเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นอย่างต่อเนื่อง
ด้านนางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน GULF กล่าวว่า ผลประกอบการปี 2567 บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโต 30% จากปีก่อน เนื่องจากรับรู้รายได้จากโครงการโรงไฟฟ้าที่จ่ายไฟฟ้าในปีที่ผ่านมาเต็มปี อีกทั้งเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ GPD หน่วยที่ 3 และ 4 ซึ่งมีกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งรวม 1,325 เมกะวัตต์ (MW) มีกำหนดเริ่มจำหน่ายไฟฟ้าในเดือน มี.ค.และ ต.ค. 67 ตามลำดับ
รวมทั้งในปีนี้บริษัทเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติหินกองหน่วยที่ 1 กำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้ง 770 MW ซึ่งเริ่มจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ในเดือน มี.ค. 67 นอกจากนี้โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Rooftop) จะทยอยเปิดดำเนินการเพิ่มอีกจำนวน 120 MW ในขณะที่โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินและโครงการพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินร่วมกับระบบกักเก็บพลังงานภายในประเทศ มีแผนที่จะทยอยเปิดให้ดำเนินการเชิงพาณิชย์เพิ่มอีก 5 โครงการในช่วงปลายปี 2567 โดยมีกำลังการผลิตติดตั้งรวม 532 MW
ส่วนธุรกิจกัลฟ์ไบแนนซ์ ในปีนี้บริษัทตั้งเป้าส่วนแบ่งการตลาดคริปโตฯ ประมาณ 30-40% เนื่องจากมีจุดแข็งจากการใช้เทคโนโลยีจากไบแนนซ์ที่มีศักยภาพและความปลอดภัยสูงในเรื่องของเงิน รวมไปถึงสภาพคล่อง จึงทำให้มั่นใจได้ว่าการซื้อขายจะไม่มีปัญหา และในส่วนของจำนวนเหรียญดิจิทัลที่มีจำนวนมาก รวมถึงยังมีค่าธรรมเนียมที่ต่ำกว่าคู่แข่งอีกด้วย
อย่างไรก็ดี ปีนี้บริษัทตั้งเป้าออกหุ้นกู้มูลค่ารวมประมาณ 30,000-35,000 ล้านบาท เพื่อใช้รีไฟแนนซ์หุ้นกู้ชุดเดิมประมาณ 15,000 ล้านบาท และที่เหลือใช้รองรับในการขยายการลงทุนของบริษัท
ที่ผ่านมาบริษัทได้ออกหุ้นกู้แล้วมูลค่า 20,000 ล้านบาท ซึ่งหุ้นกู้ดังกล่าวได้รับความสนใจจากผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่เป็นจำนวนมาก โดยแสดงความจำนงในการจองหุ้นกู้ของบริษัทมากถึง 3.10 เท่าของจำนวนที่ประสงค์จะเสนอขาย ขณะที่ในช่วงเดือน ส.ค.-ก.ย. 67 บริษัทมีแผนจะออกเสนอขายหุ้นกู้อีกประมาณ 15,000-20,000 ล้านบาท โดยการเสนอขายในครั้งนี้จะมีการจัดสรรให้ผู้ลงทุนรายย่อยอีกด้วย
ส่วนแนวโน้มอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลง มองว่าจะมีผลกระทบในแง่ทางบัญชีเท่านั้น แต่ไม่มีผลต่อกระแสเงินสดของบริษัท เนื่องจากบริษัทมีการจัดหาเงินกู้ให้เหมาะสมกับโครงสร้างรายได้ที่มาจากต่างประเทศ