ผู้จัดการรายวัน 360 - อุตสาหกรรมหนังไทยพร้อมฉายแสง “เอ็ม สตูดิโอ” ในเครือเมเจอร์ ทุ่ม 500 ล้านบาทบูมตลาดหนังไทยไปสู่ดวงดาว ล่าสุดจับมือเวิร์คพอยท์ ร่วมทุนกันผุดค่ายหนัง “Karman Line” ทุนจดทะเบียน 110 ล้านบาท กางแผน 3 ปีมีหนัง 8 เรื่องจ่อคิวเตรียมเข้าฉาย หรือเฉลี่ยปีละ 3-5 เรื่อง หวังโกยรายได้ต่อปีไม่ต่ำกว่า 150-300 ล้านบาท
นายสุรเชษฐ์ อัศวเรืองอนันต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็ม สตูดิโอ (ไทยแลนด์) จำกัด ในเครือเมเจอร์ เปิดเผยว่า เมเจอร์มุ่งหวังที่จะเห็นอุตสาหกรรมหนังไทยเติบโตอย่างมีศักยภาพ จึงพร้อมผลักดันในทุกด้าน ภายใต้บริษัทในเครือคือ “เอ็ม สตูดิโอ” ที่ปีนี้เตรียมงบไว้อย่างน้อย 500 ล้านบาท สำหรับจับมือกับพันธมิตรที่ต้องการสร้างหนังไทยออกมา โดยโมเดลการทำหนังของบริษัทมีทั้งทำเอง ร่วมทุน และจอยต์เวนเจอร์แบบบายโปรเจกต์ เป็นต้น
“แผนการดำเนินงานของ เอ็ม สตูดิโอ ในปีนี้เตรียมงบสำหรับลงทุนเกี่ยวกับหนังไทยกว่า 500 ล้านบาท เบื้องต้นจะมีการจับมือกับพันธมิตรร่วม 4-5 ราย มีทั้งไทยและต่างประเทศ ล่าสุดในขณะนี้ร่วมมือแล้ว 2 ราย คือ ช่อง 3 ในรูป JV กับหนัง 2 เรื่อง คิอ ธี่หยด 2 และมานะแมน และล่าสุดจับมือกับเวิร์คพอยท์ ร่วมทุนกันฝั่งละ 50% เท่ากันในการเปิดบริษัท คาร์แมน ไลน์ สตูดิโอ จำกัด เพื่อลงทุนทำหนังไทยและทำการตลาด ให้กับผู้ที่สนใจอยากทำหนังไทยให้เข้ามาคุยกับเรา ซึ่งตามแผนของคาร์แมน ไลน์ ใน 3 ปีนี้จะมี 8 เรื่อง”
นายสุรเชษฐ์กล่าวต่อว่า ปีที่ผ่านมารายได้รวมกลุ่มหนังไทยทำได้สูงกว่าหนังฮอลลีวูด ในปีนี้ก็น่าจะอยู่ในช่วงขาขึ้นและน่าจะทำรายได้มากกว่าหนังฮอลลีวูดอีก ขณะที่ปีนี้มองว่าภาพรวมหนังไทยจะมีเข้าฉายราว 40-50 เรื่อง เฉพาะในส่วนของเอ็ม สตูดิโอ ที่เข้าไปลงทุนนั้นจะมีอยู่ 15 เรื่อง ส่วนในเรื่องของรายได้นั้น ปีที่ผ่านมามีกว่า 10 เรื่อง หรือมีรายได้อยู่ที่ประมาณ 1,000 ล้านบาท ส่วนปีนี้คาดว่ารายได้ก็น่าจะเพิ่มเป็นเท่าตัว
ด้านนายชลากรณ์ ปัญญาโฉม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานดิจิทัล บริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เวิร์คพอยท์ได้ร่วมลงทุนผลิตภาพยนตร์ร่วมกับทางเมเจอร์มาแล้วหลายปี ล่าสุดปีนี้ได้ตัดสินใจร่วมทุนกันในสัดส่วน 50% เท่าๆ กัน ระหว่าง M Studio (ในเครือเมเจอร์) กับ Workpoint เปิดบริษัท Karman Line (คาร์แมนไลน์) สตูดิโอ จำกัด โดยมีทุนจดทะเบียน 110 ล้านบาท เพื่อลงทุนผลิตหนังไทย และจัดจำหน่าย ตั้งเป้ารายได้ไว้ประมาณ 150-300 ล้านบาท/ปี
สำหรับคาร์แมนไลน์ ทำหน้าที่เป็นแหล่งทุนให้กับพันธมิตร และผู้ที่ต้องการทำหนังไทยออกมา ซึ่งขณะนี้มีพันธมิตรเข้าร่วมหลายราย เช่น บริษัท จังก้าบางกอก จำกัด, รฤก สตูดิโอ และเป้-อารักษ์ เบื้องต้นมีรายชื่อหนังที่จะผลิตและฉายแล้วกว่า 8 เรื่องในช่วง 3 ปีนี้ โดยปีนี้จะมีถึง 3 เรื่อง จากทางจังก้าบางกอก คือ อนงค์ (My Boo), ศึกค้างคาวกินกล้วย และคุณชาย (The Cliche)
และอีก 5 เรื่องที่เหลือ ได้แก่ 1. God Skin โดย กอล์ฟ ปวีณ 2. The Stone โดย เป้ อารักษ์ 3. Super Dad โดย รัฐพล จันทรรวงทอง 4. เรวัช ที่สร้างจากเรื่องเล่าของนายตำรวจชื่อดัง และ 5. พ่อฮะบ้านเรามี...! โดย รฤก สตูดิโอ และยอร์ซ ฤกษ์ชัย ซึ่งมีกำหนดการถ่ายทำและออกฉายในปี 2568-2569
นายชลากรณ์กล่าวด้วยว่า เวิร์คพอยท์หันมาลงทุนในธุรกิจ Non TV มากขึ้น เพราะทีวีเองเติบโตได้ยาก อีกทั้งรายได้จากโฆษณาก็ทำได้น้อยลง การลงทุนในส่วนของ Non TV จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ ซึ่งกลุ่มนี้บริษัทมีอยู่ 4 ส่วน คือ เพลง, หนัง, คอนเทนต์ออนไลน์ และอีเวนต์ ซึ่งปีนี้มองว่ารายได้จากกลุ่ม Non TV จะทำได้ที่ 25% ของรายได้รวม โดยเฉพาะจากการลงทุนทางด้านสร้างหนัง และปีหน้าคาดว่าจะขยับขึ้นเป็น 30% โดยมีเป้าหมายว่าภายใน 2 ปีจากนี้กลุ่ม Non TV จะทำรายได้เท่ากับ TV ในสัดส่วน 50% เท่าๆ กัน