GULF จับมือเบตเตอร์เวิลด์กรีน และเอิร์ธเท็ค เอนไวรอนเมนท์ ร่วมทุนโครงการโรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรม จำนวน 10 โครงการ ขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้ารวม 80 เมกะวัตต์ มีกำหนด COD ในปี 2569 และโรงงานผลิตเชื้อเพลิงแข็งจากขยะอุตสาหกรรม (SRF) จำนวน 3 โครงการ กำหนด COD ในปี 2568 คิดเป็นมูลค่าโครงการทั้งสิ้น 1.76 หมื่นล้านบาท
นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จีดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน)(GULF) เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลได้กำหนดเป้าหมายของประเทศในการเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) ภายในปี 2593 และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) ภายในปี 2608 คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) จึงได้มีมติเห็นชอบหลักการการรับซื้อไฟฟ้าและอัตรารับซื้อไฟฟ้าจากขยะอุตสาหกรรมในรูปแบบ Feed-inTariff (FiT) ตามแผนการเพิ่มการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด ภายใต้แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2561-2580 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 (PDP2018 Rev. 1) เนื่องจากการบริหารจัดการขยะอุตสาหกรรมโดยการนำขยะที่ไม่เป็นของเสียอันตรายและมีค่าความร้อนมาผลิตเป็นเชื้อเพลิงแข็ง (Solid Recovered Fuel: SRF) เพื่อนำไปใช้ในการผลิตไฟฟ้า (waste-to-energy) เป็นการสร้างมูลค่าของเสียจากโรงงาน อีกทั้งยังช่วยลดปัญหาการลักลอบการทิ้งขยะ ลดพื้นที่ฝังกลบ ลดการเผาทำลาย ซึ่งส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน และยังเป็นการลดก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นจากการฝังกลบ และลดปริมาณของเสียจากกระบวนการผลิต ทำให้เกิดการหมุนเวียนทรัพยากรตามนโยบายของภาครัฐด้านการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio Circular Green Economy: BCG)
ดังนั้น GULF จึงได้ร่วมมือกับบริษัทเบตเตอร์เวิลด์กรีน จำกัด (มหาชน) (“BWG”) ซึ่งมีประสบการณ์มากกว่า 20 ปีในด้านการจัดการคัดแยกและฝังกลบขยะอุตสาหกรรม รวมถึงการแปรรูปขยะอุตสาหกรรมที่ไม่เป็นของเสียอันตรายเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับการผลิตไฟฟ้า (SRF) และบริษัทเอิร์ธเท็ค เอนไวรอนเมนท์ จำกัด (มหาชน) (“ETC”) ซึ่งเป็นผู้มีความชำนาญในการผลิตไฟฟ้าจากขยะอุตสาหกรรมและขยะชุมชนที่มีมาตรฐานสูง ทั้งนี้ ทั้งสามฝ่ายจะร่วมกันพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรมและโครงการโรงงานผลิตเชื้อเพลิงแข็งจากขยะอุตสาหกรรมแบบครบวงจรซึ่งเป็นการต่อยอดทางด้านพลังงานอุตสาหกรรมสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจอย่างครบถ้วน
เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2567 บริษัท กัลฟ์ เวสท์ทู เอ็นเนอร์จี โฮลดิ้งส์ จำกัด (GWTE) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ GULF ถือหุ้น 100% ได้ลงนามในสัญญาผู้ถือหุ้น ETC เพื่อร่วมพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรม และ GWTE ลงนามในสัญญาผู้ถือหุ้นกับ BWG เพื่อร่วมพัฒนาโครงการโรงงานผลิตเชื้อเพลิงแข็งจากขยะอุตสาหกรรม
1. สัญญาผู้ถือหุ้นระหว่าง GWTE กับ ETC
สัญญาผู้ถือหุ้นระหว่าง ETC กับ GWTE เพื่อเข้าร่วมลงทุน 50% ใน บริษัท เก็ท กรีน พาวเวอร์ จำกัด (GGP) ซึ่งเป็นผู้พัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรม 10 โครงการ ซึ่งได้ลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) เป็นระยะเวลา 20 ปี ไปเมื่อวันที่ 16 ต.ค. 2566 เป็นโรงไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (VSPP) กำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัญญาจำนวน 8 เมกะวัตต์ต่อโครงการ รวมกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัญญาทั้งสิ้น 80 เมกะวัตต์ มูลค่าโครงการรวมราว 15,000 ล้านบาท กำหนดเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ในปี 2569
GWTE, ETC และ บริษัท เวสท์เทค เอ็กซ์โพเนนเชียล จำกัด (WTX) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยภายใต้กลุ่ม บมจ.มิลล์คอน สตีล (MILL) ได้ลงนามสัญญาผู้ถือหุ้นเพื่อให้ ETC เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นในโครงการโรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรม 2 โครงการ ภายใต้บริษัท ซันเทค อินโนเวชั่น พาวเวอร์ จำกัด (SIP) ด้วยการซื้อหุ้นเพิ่มทุน ซึ่งปัจจุบัน GWTE และ WTX ถือหุ้น 51:49 ตามลำดับ โดยภายหลังจากการเพิ่มทุนดังกล่าวแล้ว จะทำให้สัดส่วนการถือหุ้นใน SIP ของ GWTE WTX และ ETC อยู่ที่ 34:33:33 ตามลำดับ
ทั้งนี้ โรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรมทั้ง 2 โครงการภายใต้ SIP มีขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัญญารวม 16 เมกะวัตต์ซึ่งได้เข้าลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ กฟภ.เป็นระยะเวลา 20 ปีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 16 ต.ค. 2566 ที่ผ่านมา
2. สัญญาผู้ถือหุ้นระหว่าง GWTE กับ BWG
GWTE และ BWG ได้ลงนามสัญญาผู้ถือหุ้นเพื่อเข้าซื้อหุ้น 50% ของบริษัท เซอร์คูลาร์แคมป์ จำกัด (CC) ซึ่งเป็นผู้พัฒนาโครงการโรงงานผลิต SRF จำนวน 3 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 2,600 ล้านบาท มีกำหนดเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในปี 68 โดย CC จะเป็นผู้จัดหาเชื้อเพลิงขยะอุตสาหกรรม เพื่อส่งให้โรงไฟฟ้าในกลุ่ม GWTE ใช้ในการผลิตไฟฟ้าต่อไป
ทั้งนี้ ภายหลังจากการดำเนินธุรกรรมดังกล่าวข้างต้น กลุ่มบริษัทฯ จะมีโครงการโรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรมในประเทศไทยที่ลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ กฟภ. ภายใต้รูปแบบ Feed-in-Tariff (FiT) เป็นจำนวน 12 โครงการ ขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัญญารวม 96 เมกะวัตต์ มีกำหนดเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในปี 2569 และมีโครงการโรงงานผลิตเชื้อเพลิงแข็งจากขยะอุตสาหกรรม (SRF) จำนวน 3 โครงการ ซึ่งมีกำหนดเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในปี 2568