xs
xsm
sm
md
lg

‘หม่อมอุ๋ย-ณรงค์ชัย-คุรุจิต’เปิด5ประเด็นจี้นายกฯแก้นโยบายพลังงานหวั่นพาชาติเสียหายใหญ่

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



หม่อมอุ๋ย-ณรงค์ชัย-คุรุจิต นำทัพแถลงจดหมายเปิดผนึกถึง”เศรษฐา ทวีสิน”นายกฯและรมว.คลังถึง 5ประเด็นด้านพลังงานที่กระทรวงพลังงานกำลังบริหารงานผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง อาจสร้างความเสียหายต่อชาติบ้านเมืองครั้งใหญ่"  กว่า 2.2 แสนล้านบาท กระทบต่อหนี้สาธารณะประเทศ จากนโยบายค่าไฟและน้ำมัน  

วันนี้ (1มี.ค.67) ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) นายณรงค์ชัย อัครเศรณี อดีต รมว.พลังงาน และนายคุรุจิต นาครทรรพ อดีตปลัดกระทรวงพลังงานได้แถลง จดหมายเปิดผนึกถึงนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง เพื่อสรุปความเสียหายที่กำลังเกิดขึ้นจากนโยบายของกระทรวงพลังงานและได้ยื่นจดหมายเปิดผนึกให้นายกฯแล้ว

ทั้งนี้ในการแถลงได้ระบุถึงความห่วงใยต่อความเสียหายที่จะเกิดขึ้นแก่เศรษฐกิจของชาติบ้านเมือง อันเนื่องมาจากนโยบายพลังงานในหลายๆเรื่องที่รัฐบาลกำลัง ขับเคลื่อนอยู่ดังต่อไปนี้

1.เมื่อรัฐบาลปัจจุบันเริ่มเข้าบริหารงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมีภาระหนี้สินจำนวน 48,000 ล้าน บาท ซึ่งรัฐบาลมีหน้าที่ที่จะต้องดูแลให้หนี้สินจำนวนนี้ลดลงไปหรืออย่างน้อยก็ไม่เพิ่มขึ้น แต่ปรากฏว่า เพียงแค่ 5 เดือนถึงสิ้นเดือนมกราคม 2567 หนี้สินกองทุนน้ำมันฯได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เป็น 84,000 ล้านบาทและล่าสุดแตะ 9.1 หมื่นล้านบาทแล้ว ทั้งนี้เพราะกระทรวงพลังงานได้กดราคาน้ำมันดีเซลลงจากลิตรละ 32 บาท เป็นลิตรละ 30 บาท และได้ลดราคาน้ำมันกลุ่มเบนซินและแก๊ซโซฮอลลงอีกลิตรละ 2.50 บาท อันเป็นผล ให้กองทุนฯ ต้องชดเชยราคาสำหรับน้ำมันดีเซลและลดการเก็บเงินเข้ากองทุนฯจากน้ำมันกลุ่มเบนซินและ แก๊สโซฮอล รวมถึงตรึงราคา LPG ไว้ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น

หากปล่อยไปเช่นนี้ หนี้ของกองทุนน้ำมันก็จะ เพิ่มสูงขึ้นไปอีกจนถึงเพดานหนี้ตามที่กฎหมายกำหนดกรอบไว้ขณะนี้ คือ 110,000 ล้านบาท แต่เมื่อหนี้ของกองทุนฯ ในเวลาอีกไม่นานนัก การลดราคาน้ำมันลงเป็นประโยชน์สำหรับเจ้าของรถก็จริง เพิ่มขึ้นถึงจุดหนึ่งที่เกินความสามารถที่จะชำระคืนรัฐบาลก็คงต้องนำเงินจากภาษีที่เก็บจากประชาชนทั้ง ประเทศไปล้างหนี้ดังกล่าว ซึ่งเท่ากับว่าในส่วนของราคาน้ำมัน ประชาชนที่ไม่ได้เป็นเจ้าของรถ ต้องมา ช่วยแบกภาระหนี้แทนเจ้าของรถที่มีฐานะดีกว่า ซึ่งเป็นเรื่องที่รัฐบาลที่ดีพึงระวังไม่ให้เกิดขึ้น ซึ่งช่วงที่น้ำมันในตลาดโลกราคายังมิได้ผันผวนถึงขั้นวิกฤติ คือค่อนข้างนิ่งและมีแนวโน้มลดลง มาตั้งแต่เดือนตุลาคม 2556 จนถึงปัจจุบัน จึงควรเรียกเก็บเงินเข้าเพื่อมาคืนสภาพคล่องและลดหนี้ให้แก่กองทุนฯ


2. ในรัฐบาลที่แล้ว เมื่อราคาก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ในตลาดโลกสูงขึ้นอย่างมากอันเนื่องมาจาก ภาวะสงครามในยุโรป รัฐบาลก่อนได้ชะลอการปรับค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติหรือ Ft ไว้เพื่อไม่ให้ค่าไฟฟ้าที่จะเก็บจาก ประชาชนเพิ่มขึ้นในจำนวนสูงเกินไป โดยให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.)รับภาระราคาก๊าซ LNG ที่เพิ่มสูงขึ้นไว้ก่อนแล้วจึงจะค่อย ทยอยผ่อนคืน กฟผ. โดยการขึ้นค่า Ft ทีละนิดในงวดถัดๆไปณ สิ้นเดือน สิงหาคม 2556 หนี้ค่า Ft ที่ กฟผ.แบกรับไว้มียอดค้างอยู่ 110,000 ล้านบาท พอรัฐบาลชุดใหม่รับงาน เป็นจังหวะที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ) จะต้องอนุมัติปรับค่า ไฟฟ้า ซึ่งตั้งใจจะปรับลดจากงวดก่อนจากหน่วยละ 4.70 บาท เป็นหน่วยละ 4.45 บาท (ในงวดเดือน ก.ย. ธ.ค.2566) เพื่อให้พอมีเงินเข้ามาช่วยลดภาระหนี้ที่ กฟผ.แบกรับไว้ลงบ้าง ปรากฏว่ารัฐบาลใหม่กลับ ประกาศกดราคาค่าไฟฟ้าลงไปอีกเหลือหน่วยละ 3.99 บาท ซึ่งมีผลให้ กฟผ.ต้องแบกรับหนี้เพิ่มขึ้นอีกคือเพิ่มสูงขึ้นเป็น 137,000 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2566 หากปล่อยไปเช่นนี้ ในที่สุดก็คง จะต้องนำเงินภาษีของประชาชนไปล้างหนี้จำนวนนี้ให้กฟผ.เพื่อให้ กฟผ.ดำเนินกิจการต่อไปได้

รัฐบาลที่ดีย่อมจะต้องตระหนักว่ามีภาระหน้าที่ที่จะต้องดูแลไม่ให้มีการหมักหมมปัญหาและ หมกหนี้ไว้ที่หน่วยงานของรัฐ และตั้งใจหามาตรการที่จะทยอยลดหนี้ได้ตั้งแต่ที่ปัญหายังไม่หนักเกินไปก็จะสามารถสะสางปัญหาให้จบลงด้วยดีได้โดยไม่ต้องรบกวนภาษีของประชาชน

3. รัฐบาลไทยในอดีตได้ออกนโยบายที่เป็นคุณต่อสิ่งแวดล้อมในอากาศ คือ วางแผนให้มีการผลิต น้ำมันคุณภาพสูงขึ้นเป็นมาตรฐาน Euro 5 โดยได้มีการขอความร่วมมือและจูงใจให้โรงกลั่นในประเทศ ทั้ง 6 โรง ลงทุนก่อสร้างและติดตั้งอุปกรณ์ปรับกระบวนการผลิตให้ได้น้ำมันคุณภาพ Euro 5 ซึ่งใช้เงินลงทุนไปจำนวนมากหลายหมื่นล้านบาท พร้อมกันนั้นกระทรวงอุตสาหกรรมก็ได้ดำเนินการออก มาตรฐานรถยนต์ใหม่ให้รองรับคุณภาพน้ำมันใหม่ และกระทรวงพลังงานได้ดำเนินการออกมาตรฐาน บังคับใช้คุณภาพน้ำมันที่ลดกำมะถันลงให้เหลือไม่เกิน 10 ppm กับลดค่า NOx และฝุ่น PM ลงให้ไม่เกิน 8 % ภายใน 5 ปี โดยให้มีผลบังคับตั้งแต่ 1 มกราคม 2567 โดยเป็นที่เข้าใจกันว่ากระทรวงพลังงานจะ ปรับสูตรสำหรับคิดราคาน้ำมันอ้างอิงที่หน้าโรงกลั่นให้สะท้อนถึงต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากการลงทุนเพื่อให้มี ความสามารถในการผลิตน้ำมันที่มีคุณภาพสูงขึ้นเป็นระดับ Euro 5 ปรากฏว่าจนถึงบัดนี้ ทั้งๆที่กระทรวงพลังงานได้ประกาศให้ใช้น้ำมันระดับ Euro5 แล้ว กระทรวง พลังงานภายใต้รัฐบาลใหม่ยังนิ่งเฉย แสดงท่าทีไม่ยอมรับคุณภาพน้ำมันสะอาดใหม่นี้ โดยไม่พิจารณา ปรับราคาอ้างอิงหน้าโรงกลั่นของเบ็นซิน แก๊สโซฮอลและดีเซล จนภาคเอกชนคือสภาอุตสาหกรรมฯ ต้องออกมาเรียกร้องขอให้ปรับสูตรราคาอ้างอิงดังกล่าว หากรัฐบาลเพิกเฉยไม่ทำอันใด ในที่สุดผู้ค้าน้ำมัน ก็คงจะไม่ยอมรับในราคาอ้างอิงในแบบเดิมๆ ที่รัฐกำหนดและเลือกใช้วิธีกำหนดราคาขายหน้าปั๊มเอง ซึ่งอาจมีผลเสียต่อผู้บริโภคมากกว่า และโรงกลั่นก็จะไม่ยอมลงทุนอะไรไปก่อนอีกตามที่รัฐขอความร่วมมือ ในอนาคต นอกจากนี้ นโยบายของรัฐในสายตาของนักลงทุนก็จะขาดความน่าเชื่อถือและเสื่อมถอยลงด้วย

4. คุณภาพอากาศกำลังเป็นปัญหาสำคัญของประเทศไทย ปัญหาของฝุ่นควันในต่างจังหวัดเกิดจากการเผาไร่และเผาป่าเป็นสาเหตุใหญ่ ในขณะที่สาเหตุหลักของฝุ่นควันในอากาศบริเวณกรุงเทพฯ และปริมณฑลก็คือควันพิษจากรถยนต์และรถจักรยานยนต์ที่ใช้น้ำมันดีเซล เบนซิน และแก๊สโซฮอล รัฐบาลในอดีตและปัจจุบันมีนโยบายที่จะกระตุ้นให้คนหันมาใช้รถไฟฟ้าสาธารณะหรือใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) เป็นพาหนะส่วนตัวเพื่อช่วยบรรเทาปัญหาควันพิษในอากาศลงบ้าง แต่การลดราคาน้ำมันทุกชนิดให้ ต่ำลง ย่อมเป็นการกระตุ้นให้มีการใช้รถยนต์และรถจักรยานยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงอย่างฟุ่มเฟือยและ ก่อให้เกิดควันพิษมากขึ้น ดูเป็นนโยบายที่ขัดหรือย้อนแย้งกับเรื่องการดูแลคุณภาพอากาศและพลังงานสะอาดอย่างชัดเจน ทำให้ไม่แน่ใจว่ารัฐบาลนี้มีความตั้งใจที่จะลดปัญหาควันพิษในอากาศเพื่อคุณภาพ ชีวิตที่ดีของประชาชน กลับจะส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) จริงหรือไม่?

5. ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 กระทรวงพลังงานใช้กลเม็ดการคิดเลขในการหาต้นทุนที่ต่ำลงสำหรับ ก๊าซใน Pool Gas ที่ใช้สำหรับผลิตไฟฟ้า โดยมิได้เป็นการจัดหาและนำก๊าซต้นทุนต่ำมาเพิ่มเติมใน Pool Gas แต่อย่างใด กล่าวคือกระทรวงพลังงานปรับสูตรการคำนวนราคาก๊าซธรรมชาติใน Pool Gas ใหม่ โดยนำราคาก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทย (ซึ่งมีราคาต่ำกว่าราคาก๊าซจากพม่าและก๊าซLNG) ส่วนที่เคย ส่งเป็นวัตถุดิบ ไปเข้าโรงแยกก๊าซเพื่อผลิตผลิตภัณฑ์คืออีเทนและโพรเพนป้อนเข้าสู่อุตสาหกรรมปิโตรเคมี เอามารวมคำนวณเป็นราคาใน Pool Gas เพื่อให้ได้ราคาเฉลี่ยสำหรับการผลิตไฟฟ้าที่ต่ำลง ผลที่ตามมาก็ คือราคาของก๊าซส่วนที่แยกไปใช้ผลิตเป็นวัตถุดิบในโรงแยกก๊าซ (GSP)เพิ่มสูงขึ้นทันที อันส่งผล ต่อการทำผลิตภัณฑ์ต่อเนื่อง และทำให้ต้นทุนวัตถุดิบของปิโตรเคมีทั้งระบบเพิ่มขึ้น ซึ่งจะกระทบ ความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและห่วงโซ่อุตสาหกรรมต่อเนื่องจากต้นน้ำถึงปลายน้ำด้วย

นอกจากนี้ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) มีอำนาจเพียงกำหนดอัตราค่าบริการก๊าซ ธรรมชาติ ก็แต่เฉพาะก๊าซธรรมชาติที่ใช้เป็นพลังงานเท่านั้น มิได้มีอำนาจกำหนดราคาก๊าซที่ใช้เป็นวัตถุดิบ นโยบายที่มอบให้กกพ.นี้จึงสุ่มเสี่ยงที่จะใช้อำนาจเกินขอบเขตของกฎหมายด้วย

เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ประเทศไทยใช้เวลามากกว่า 30 ปีในการสร้างเครือข่ายอุตสาหกรรมปิโตรเคมี และอุตสาหกรรมต่อเนื่องอาทิ พลาสติก สิ่งทอ และอะไหล่รถยนต์หลายพันกิจการ ก่อให้เกิดนิคม อุตสาหกรรมระดับโลกขึ้นที่มาบตาพุด จ.ระยอง และความโชติช่วงชัชวาลขึ้นที่ชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก และช่วยทำให้ GDP และการส่งออกของไทยเติบโตมาอย่างต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งในปี 2564 เฉพาะกลุ่มปิโตรเคมีและกลุ่มแปรรูปพลาสติก มียอดขายรวมถึง 1,720,000 ล้านบาทหรือ 10.7% ของ รายได้ประชาชาติของไทย มีการจ้างงานรวมกว่า 400,000 คน ต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้นมากทันทีเพราะการ กำหนดสูตรราคาก๊าซใหม่นี้จะกระทบอย่างรุนแรงต่อความอยู่รอดของอุตสาหกรรมเหล่านี้อย่างแน่นอนหากปล่อยไว้นานเกินไปจะกระทบถึงฐานะของกิจการจนต้องทยอยปิดลง กระทบต่อเศรษฐกิจและการจ้าง


ทั้งนี้เชื่อว่ารัฐบาลนี้ไม่มีเจตนาที่จะให้เกิดผลเสียในลักษณะดังกล่าว และยังไม่สายเกินไปที่จะ แก้ไขปัญหาในเรื่องนี้โดยการกลับไปใช้สูตรการคำนวนราคาก๊าซธรรมชาติที่ใช้อยู่เดิมพวกกระผมเข้าใจดีว่ารัฐบาลมีความตั้งใจที่จะให้ผู้บริโภคได้ใช้น้ำมัน ก๊าซหุงต้ม LPG และไฟฟ้า ที่ราคาถูก แต่ในการดำเนินนโยบายเพื่อความตั้งใจดีนั้น จำเป็นต้องคำนึงถึงผลเสียที่เกิดขึ้นด้วย

 
กำลังโหลดความคิดเห็น