ไทยออยล์กำไรงวดปี 66 วูบ 40.48% มาอยู่ที่ 19,443 ล้านบาท บอร์ดไฟเขียวจ่ายปันผลงวดครึ่งปีหลังปี 66 หุ้นละ 2.75 บาท
นายบัณฑิต ธรรมประจำจิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน)(TOP) เปิดเผยว่า บริษัทมีกำไรสุทธิ 19,443 ล้านบาท ลดลง 40.48% จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 32,668 ล้านบาท
ทั้งนี้ บริษัทมีกำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่ม รวมผลกระทบจากสต๊อกน้ำมัน (Accounting GIM) อยู่ที่ 9.80 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล และมีปริมาณวัตถุดิบที่ป้อนเข้าสู่กระบวนการผลิตของกลุ่มอยู่ที่ 310,000 บาร์เรล/วัน ทำให้กลุ่มไทยออยล์มีรายได้จากการขายและ EBITDA อยู่ที่ 459,402 ล้านบาท และ 35,453 ล้านบาท ตามลำดับ ลดลงจากราคาขายผลิตภัณฑ์ที่ลดลงตามราคาน้ำมัน แต่เมื่อหักกับค่าใช้จ่ายการดำเนินงานและต้นทุนทางการเงิน ค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้และกำไรอัตราแลกเปลี่ยนสุทธิ ขาดทุนจากการวัดค่ายุติธรรมเครื่องมือทางการเงิน ทำให้ไทยออยล์มีกำไรสุทธิ 19,443 ล้านบาท
ส่วนผลดำเนินงานงวดไตรมาส 4/2566 กลุ่มไทยออยล์มีกำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่ม รวมผลกระทบจากสต๊อกน้ำมัน (Accounting GIM) อยู่ที่ 3.60 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล และด้วยปริมาณวัตถุดิบที่ป้อนเข้าสู่กระบวนการผลิตของกลุ่มอยู่ที่ 309,000 บาร์เรล/วัน ทำให้กลุ่มไทยออยล์มีรายได้จากการขายและ EBITDA อยู่ที่ 115,336 ล้านบาท และ 3,681 ล้านบาทตามลำดับ เมื่อหักกับค่าใช้จ่ายการดำเนินงานและต้นทุนทางการเงิน ค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้และกำไรอัตราแลกเปลี่ยนสุทธิ ขาดทุนจากการวัดค่ายุติธรรมเครื่องมือทางการเงิน ทำให้ไทยออยล์มีกำไรสุทธิ 2,944 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 145 ล้านบาท
คณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติเห็นชอบให้เสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นอนุมัติจ่ายเงินปันผลประจำปี 2566 ในอัตราหุ้นละ 3.40 บาท เมื่อหักเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับ ผลประกอบการ 6 เดือนแรกของปี 2566 ในอัตราหุ้นละ 0.65 บาท คงเหลือเป็นเงินปันผลที่จะจ่ายสำหรับผลประกอบการ 6 เดือนหลังของปี 2566 อีกในอัตราหุ้นละ 2.75 บาท โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 30 เมษายน 2567 และกำหนดวันประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2567ในวันที่ 11 เมษายน 2567
นายบัณฑิตกล่าวว่า แนวโน้มธุรกิจโรงกลั่นในไตรมาส 1/2567 และช่วงครึ่งแรกของปีนี้คาดทรงตัวในระดับดีเมื่อเทียบกับไตรมาส 4/2566 และครึ่งแรกของปี 2566 โดยค่าการกลั่นได้รับแรงหนุนจากอุปทานที่ปรับลดลงหลังสภาพภูมิอากาศที่หนาวเย็นในสหรัฐฯ ส่งผลให้โรงกลั่นหลายแห่งหยุดดำเนินการชั่วคราว ขณะที่ยังมีความเสี่ยงจากความไม่สงบบริเวณทะเลแดงที่ส่งผลกระทบต่อการขนส่งน้ำมันผ่านบริเวณดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ส่วนตลาดพาราไซลีนในไตรมาส 1/2567 คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน หลังอุปสงค์ในภูมิภาคคาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้นหลังช่วงเทศกาลตรุษจีน ประกอบกับความต้องการบรรจุภัณฑ์ขวดน้ำดื่มที่สูงขึ้นในช่วงปลายไตรมาส เพื่อรองรับการบริโภคช่วงฤดูร้อนในภูมิภาค
สำหรับแผนการลงทุนโครงการในอนาคตช่วงปี 2567-2569 เป็นจำนวนรวมทั้งสิ้น 703 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยส่วนใหญ่เป็นโครงการพลังงานสะอาด (Clean Fuel Project) 233 ล้านเหรียญสหรัฐ และเงินลงทุนในธุรกิจโอเลฟินส์ของบริษัทโดยผ่านการเข้าซื้อหุ้นของบริษัท PT Chandra Asri Petrochemical Tbk ประมาณ 270 ล้านเหรียญสหรัฐ และโครงการอื่นของบริษัทที่อยู่ระหว่างดำเนินการ เช่น โครงการปรับปรุงหน่วยผลิตต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพ และโครงการลงทุนด้านโลจิสติกส์และสาธารณูปโภค เป็นต้น