“มนพร” ร่วมยินดี 33 ปี ท่าเรือแหลมฉบัง ผลักดันโครงการระยะที่ 3 สู่ไทยแลนด์ 4.0
นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวภายหลังเป็นประธานงานวันคล้ายวันสถาปนาท่าเรือแหลมฉบัง (ทลฉ.) ครบรอบ 33 ปี เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2566 ณ โรงแรมแกรนด์ พาลาซโซ่ พัทยา จังหวัดชลบุรี ว่า ปัจจุบัน ทลฉ.มีปริมาณตู้สินค้าผ่านท่าติดอันดับที่ 19 และเป็นท่าเรือท่องเที่ยวอันดับที่ 5 ของโลก จากจุดเริ่มต้นจนถึงปัจจุบันสามารถให้บริการขนถ่ายตู้สินค้าได้ไม่ต่ำกว่า 141 ล้านทีอียู และรถยนต์มากกว่า 20 ล้านคัน ซึ่งเป็นความสำเร็จที่เกิดจากความร่วมมือ มุ่งมั่น ทุ่มเทของพนักงาน และการสนับสนุนจากทุกภาคส่วนที่ไม่หยุดการพัฒนาเพื่อยกระดับการให้บริการ ที่มุ่งเน้นให้ความสำคัญต่อ Smart Port โดยการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่างๆ มาใช้ปรับปรุงท่าเรือให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น สามารถเชื่อมโยงการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศได้อย่างต่อเนื่อง
ด้วยที่ตั้งของประเทศไทยที่มีอาณาเขตติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้านทั้งเมียนมา สปป.ลาว กัมพูชา มาเลเซีย และสามารถติดต่อทำการค้าผ่านแดนกับประเทศใกล้เคียง ได้แก่ จีนตอนใต้ และเวียดนาม โดยเป็นหน้าด่านของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้ ทลฉ.ได้เปรียบในลักษณะที่เป็นท่าเรือที่มีดินแดนหลังท่า (Hinterland) ที่มีขนาดกว้างใหญ่ จึงทำให้มีศักยภาพสูงในการพัฒนาให้เป็นเกตเวย์หลักของภูมิภาค
สำหรับโครงการพัฒนา ทลฉ.ระยะที่ 3 เป็นหนึ่งในโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และแผนยุทธศาสตร์ภายใต้ไทยแลนด์ 4.0 ด้วยการพัฒนาเชิงพื้นที่ต่อยอดความสำเร็จมาจากโครงการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออก หรืออีสเทิร์นซีบอร์ด สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของ กทท. “มุ่งสู่มาตรฐานท่าเรือชั้นนำระดับโลก พร้อมการให้บริการด้านโลจิสติกส์ที่เป็นเลิศ เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนในปี 2573” ด้วยความมุ่งมั่นที่จะพัฒนา ทลฉ. ให้เป็น World Class Port เพื่อยกระดับการให้บริการ การเพิ่มขีดความสามารถ (Capacity) ช่วยลดระยะเวลารอคอย (Waiting Time) ของเรือที่เทียบท่า และเพิ่มศักยภาพด้านผลผลิต (Productivity) ด้วยการนำระบบเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในการบริหารงานหน้าท่า และ Yard Operation รวมทั้งริเริ่มโครงการและกิจกรรมใหม่ๆ จะทำให้มีการบริการที่ครบถ้วนมากขึ้น
ทั้งนี้ นางมนพร เจริญศรี ได้กำชับให้ กทท.เร่งดำเนินโครงการพัฒนา ทลฉ. ระยะที่ 3 ให้แล้วเสร็จตามกรอบระยะเวลาที่กำหนด เพื่อเพิ่มขีดความสามารถและความพร้อมของท่าเรือในการรองรับความต้องการการขนส่งสินค้าทางทะเลระหว่างประเทศที่เพิ่มขึ้นในอนาคต รวมทั้งเพิ่มความเชื่อมั่นในสายตาของนักลงทุนชาวต่างชาติ